แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ที่ดินที่จดทะเบียนเป็นภารจำยอมให้ใช้ทางเข้าออกนั้นคำว่า บริวาร หมายความรวมถึงบุคคลผู้อาศัยสิทธิของผู้อยู่ในที่ดินสามยทรัพย์ด้วยไม่ใช่เฉพาะแต่บุตรภริยาเท่านั้น จึงรวมถึงผู้เช่าซื้อและผู้ทำสัญญาจะซื้อที่ดินสามยทรัพย์ด้วย
ย่อยาว
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องที่โจทก์ขอให้ห้ามจำเลยใช้ถนนของโจทก์ และใช้ค่าเสียหายที่ทำให้ถนนเสียหาย โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เดิมนายเทพ เขียวรัตน์มีที่ดินแปลงใหญ่ 2 แปลงบริเวณถนนหมายสีแดงและสีเขียวตามแผนที่ท้ายฟ้องอันเป็นถนนพิพาท ต่อมาได้แบ่งแยกออกเป็นแปลงย่อยเพื่อให้เช่าซื้อ โจทก์มีที่ดินบริเวณถนนพิพาทหลายแปลงเพื่อให้เช่าซื้อเช่นกัน เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2513 โจทก์และนายเทพตกลงทำถนนพิพาทร่วมกันตามสัญญา ล.5 โจทก์เป็นผู้ดำเนินการและออกค่าใช้จ่าย ส่วนนายเทพยกที่ดินเนื้อที่ 200 ตารางวาราคาประมาณ 300,000 บาทให้โจทก์เป็นการตอบแทน โจทก์ตกลงให้นายเทพมีกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินส่วนที่ทำถนนร่วมกับโจทก์กึ่งหนึ่ง ทั้งสองฝ่ายจะจดทะเบียนภารจำยอมส่วนที่ทำถนนเพื่อประโยชน์ที่ดินทั้งสองฝ่าย ถนนพิพาทสร้างเสร็จในปี 2514 โดยอยู่ในที่ดินบางส่วนของโฉนดเลขที่ 27320 ก่อนแบ่งแยกวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2515โจทก์แบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ 27320 ออกเป็นแปลงย่อย แปลงที่ทำถนนพิพาทตอนนอกหมายสีแดงคือโฉนดเลขที่ 67387 ส่วนแปลงที่ทำถนนพิพาทตอนในหมายเขียวคือโฉนดเลขที่ 27320 ส่วนที่เหลือจากแบ่งแล้ว วันที่ 7 มิถุนายน 2515 โจทก์ใส่ชื่อนายเทพ จำเลยที่ 2 และบุคคลอื่นหลายคนถือกรรมสิทธิ์รวมในโฉนดเลขที่ 67387 อันเป็นถนนพิพาทตอนนอกต่อมานายเทพนำสัญญาทำถนน ล.5 ฟ้องโจทก์ตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 5038/2517 ของศาลชั้นต้น คดียุติด้วยการทำสัญญาประนีประนอมยอมความและศาลพิพากษาคดีไปตามยอม สัญญาประนีประนอมยอมความมีข้อสารสำคัญว่า โจทก์ยอมให้นายเทพและบริวารใช้ถนนพิพาทเข้าออกได้ตามปกติ และโจทก์ยอมจดทะเบียนให้นายเทพใช้ถนนพิพาท วันที่ 28 สิงหาคม2517 โจทก์จดทะเบียนภารจำยอมเรื่องทางเดิมเต็มโฉนดเลขที่ 27320 ให้แก่ที่ดินนายเทพ 17 โฉนดรวมทั้งที่ดินโฉนดเลขที่ 67204 และ 67144 ปี 2517จำเลยที่ 1 เช่าซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 67208 ของนายเทพและปลูกบ้านอยู่อาศัยบนที่ดิน ปัจจุบันยังชำระค่าเช่าซื้อไม่ครบ ฝ่ายจำเลยที่ 2 ทำสัญญาจะซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 67194 ของนายเทพเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2514 ผ่อนชำระ 80เดือน ยังผ่อนไม่หมด จำเลยที่ 2 ปลูกบ้านบนที่ดินเพื่ออยู่อาศัย
จำเลยทั้งสองซึ่งเป็นฝ่ายสืบก่อนนำสืบว่า จำเลยทั้งสองใช้ถนนพิพาทโดยอาศัยสิทธินายเทพตามสัญญาประนีประนอมยอมความที่นายเทพทำกับโจทก์ และในฐานะที่ถนนพิพาทตามโฉนดเลขที่ 27320 จดทะเบียนเป็นทางภารจำยอมแก่ที่ดินแปลงที่จำเลยที่ 1 เช่าซื้อ และแปลงที่จำเลยที่ 2 จะซื้อจากนายเทพ นอกจากนั้นถนนพิพาทตามโฉนดเลขที่ 67387 จำเลยที่ 2 ถือกรรมสิทธิ์ร่วม
โจทก์ทั้งสองสำนวนนำสืบว่า จำเลยทั้งสองไม่ใช่บริวารนายเทพไม่มีสิทธิใช้ถนนพิพาท การที่จำเลยทั้งสองใช้ถนนพิพาทเป็นเหตุให้ถนนทรุด รถเข้าออกตอนดึกโจทก์ตกใจตื่น นอนไม่หลับ เสียสุขภาพ ขอเรียกค่าเสียหายเป็นรายสำนวนปีละ 20,000 บาท นับแต่วันที่ 9 กรกฎาคม 2517
ศาลฎีกาพิจารณาแล้ว ที่โจทก์สำนวนแรกฎีกาว่า จำเลยที่ 1 ไม่ใช่บริวารนายเทพ เขียวรัตน์ ไม่มีสิทธิใช้ถนนพิพาทหมายสีแดงตอนนอกบนที่ดินโฉนดเลขที่ 67387 นั้น เห็นว่าสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 5038/2517 เนื่องมาจากนายเทพฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นจำเลยขอให้เปิดถนนพิพาท โดยอาศัยสัญญาทำถนนซึ่งโจทก์ทำไว้กับนายเทพตามเอกสาร ล.5 ตามสัญญา ล.5 ข้อ 2 ตอนท้ายมีข้อความว่า “ฯลฯ ที่ทำถนนเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินทั้งสองฝ่ายเพื่อใช้เป็นทางสำหรับเข้าออกตลอดไป” เห็นได้ว่าสิทธิการใช้ถนนพิพาทมิได้จำกัดเฉพาะตัวนายเทพ แต่รวมถึงบุคคลที่อยู่ในที่ดินของนายเทพด้วย การที่นายเทพกับโจทก์ทำสัญญาประนีประนอมยอมความไว้ในข้อ 1 ว่า “จำเลยยอมให้โจทก์และบริวารใช้ทางพิพาทเข้าออกได้ตามปกติ”คำว่าบริวารในที่นี้ย่อมหมายถึงบุคคลที่อยู่ในที่ดินของนายเทพ ซึ่งอาศัยสิทธิการใช้ถนนพิพาทตามข้อสัญญาที่นายเทพทำไว้กับโจทก์ หาใช้หมายจำเพาะบุตร ภริยา ของนายเทพดังข้อฎีกาของโจทก์ไม่ เมื่อจำเลยที่ 1 เช่าซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 67209 ของนายเทพและปลูกบ้านอยู่ในที่ดินนั้นย่อมถือได้ว่าจำเลยที่ 1เป็นบริวารของนายเทพตามความหมายแห่งสัญญาประนีประนอมยอมความแล้ว จำเลยที่ 1 มีสิทธิใช้ถนนพิพาทหมายสีแดงตอนนอกบนที่ดินโฉนดเลขที่ 67387 ฎีกาโจทก์สำนวนแรกฟังไม่ขึ้น
ส่วนที่โจทก์สำนวนหลังฎีกาว่า จำเลยที่ 2 ไม่มีสิทธิใช้ถนนพิพาทหมายสีเขียวตอนในบนที่ดินโฉนดเลขที่ 27320 นั้น ข้อนี้นอกจากจำเลยที่ 2 จะเป็นบริวารของนายเทพ เพราะจำเลยที่ 2 ทำสัญญาจะซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 67194ของนายเทพ และปลูกบ้านในที่ดินโดยชำระค่าที่ดินยังไม่หมดแล้ว ถนนพิพาทสีเขียวตามโฉนดเลขที่ 27320 ยังได้จดทะเบียนเป็นทางภารจำยอมเพื่อประโยชน์ที่ดินโฉนดที่ 67194 ไว้ จำเลยที่ 2 ซึ่งอยู่บนที่ดินนั้นย่อมมีสิทธิใช้ถนนพิพาทหมายสีเขียวในฐานะเป็นทางภารจำยอมอีกประการหนึ่งด้วย ที่โจทก์ฎีกาว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 27320 ไม่ตกเป็นภารจำยอมแก่ผู้ซื้อที่ดินนั้น ข้อฎีกาของโจทก์ไม่มีบทกฎหมายสนับสนุน”
พิพากษายืน