คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 649/2521

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่ศาลชั้นต้นสั่งคำร้องขอฟ้องอุทธรณ์อย่างคนอนาถาของจำเลยว่า “โดยเหตุที่ศาลสั่งไม่อนุญาตให้ผัดการนำตัวจำเลยมาสาบานตามคำร้องของจำเลยแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องสั่งคำร้องนี้” โดยมิได้กำหนดเวลาให้จำเลยนำเงินค่าธรรมเนียมอุทธรณ์มาชำระภายในระยะเวลาอันสมควร จำเลยจึงมีสิทธิฟ้องอุทธรณ์คำสั่งขอให้ศาลอุทธรณ์สั่งกำหนดเวลาให้ชำระค่าธรรมเนียมให้ครบภายในเวลาอันสมควรได้ส่วนศาลอุทธรณ์จะเห็นสมควรกำหนดเวลาให้หรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะเป็นอำนาจทั่ว ๆ ไปในกรณีที่ไม่มีกฎหมายกำหนดไว้โดยเฉพาะตามความยุติธรรมและความเหมาะสม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2516 จำเลยซึ่งเป็นเจ้าของและผู้ขับขี่รถยนต์นั่งส่วนบุคคลเลขทะเบียน ก.ท.ฎ – 2123 ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์โดยขับรถยนต์มาตามถนนศรีอยุธยาจากทางวงเวียนพญาไทมุ่งหน้าไปทางวงเวียนศรีอยุธยาด้วยความประมาทโดยขับมาด้วยความเร็วสูงเกินกว่าอัตราที่ทางการกำหนด และไม่ระวังดูยวดยานที่อยู่ข้างหน้ากับไม่เว้นระยะให้ห่างตามสมควร ไม่ระวังผู้คนที่ข้ามถนน ขณะที่โจทก์และเด็กนักเรียนกำลังข้ามถนนจากฝั่งตรงข้ามหน้าโรงเรียนพญาไทจะไปฝั่งโรงเรียนพญาไท รถยนต์คันอื่น ๆ ได้ชะลอความเร็วลงและหยุดรถให้คนข้ามแต่จำเลยมิได้ชะลอความเร็วของรถลง กลับขับแซงรถคันอื่น ๆ ขึ้นมาและมุ่งแซงซ้ายรถยนต์แท็กซี่คันหมายเลขทะเบียน ก.ท.ท. – 1610 ซึ่งชะลอความเร็วและหยุดให้โจทก์และบุคคลอื่น ๆ ข้ามถนน จำเลยแซงไม่พ้นจึงเฉี่ยวด้านซ้ายของรถยนต์แท็กซี่แล้วรถของจำเลยได้พุ่งชนโจทก์อย่างแรง ทำให้โจทก์กระเด็นไปไกล 15 เมตร ล้มลงฟาดพื้นถนนศรีษะแตกเย็บถึง 18 เข็ม ขาด้านซ้ายหักกระดูกแตกต้องผ่าตัดใส่เหล็กช่วย ร่างกายส่วนตะโพก เอว และลำตัวได้รับความเจ็บช้ำบาดเจ็บสาหัสถึงทุพพลภาพ เสียหายแก่ร่างกายและอนามัย ต้องเจ็บป่วยด้วยอาการทุกขเวทนากล้าเกินกว่า 20 วัน จึงฟ้องเรียกค่าเสียหาย7 รายการ คิดเป็นเงิน 182,250 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 7 ครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์

จำเลยให้การรับว่า เป็นเจ้าของรถยนต์และเป็นผู้ขับรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ก.ท.ฎ – 2123 จริง แต่จำเลยไม่ได้ขับรถโดยประมาทดังโจทก์ฟ้อง ความจริงโจทก์ถูกรถยนต์แท็กซี่คันหมายเลขทะเบียน ก.ท.ท. – 1610 ชน แล้วรถยนต์แท็กซี่ยังหักหลบโจทก์มาชนรถจำเลยแล้วขับหลบหนีไปจำเลยได้หยุดรถช่วยเหลือนำโจทก์ส่งโรงพยาบาล โจทก์จะได้รับบาดเจ็บตามที่กล่าวในฟ้องหรือไม่ ไม่รับรองและโจทก์ไม่ได้รับความเสียหายจริงดังฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระค่าเสียหายให้โจทก์เป็นเงินรวมทั้งสิ้น 53,750 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย

คดีครบกำหนดยื่นอุทธรณ์วันที่ 26 ตุลาคม 2518 ซึ่งตรงกับวันอาทิตย์รุ่งขึ้นวันที่ 27 ซึ่งจำเลยยังยื่นอุทธรณ์ได้ จำเลยมายื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ต่อไปอีก 15 วัน

ศาลชั้นต้นสั่งว่า ไม่มีเหตุหรือพฤติการณ์พิเศษที่จะอนุญาต ให้ยกคำร้อง

หลังจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าวข้างต้นแล้ว ในวันเดียวกันนั้นทนายจำเลยยื่นอุทธรณ์ และยื่นคำร้องขอฟ้องอุทธรณ์อย่างคนอนาถา กับยื่นคำร้องขอผัดนำตัวจำเลยมาสาบานต่อศาลภายใน 7 วัน

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง ส่วนคำร้องขอฟ้องอุทธรณ์อย่างคนอนาถาศาลชั้นต้นสั่งว่าโดยเหตุที่ศาลสั่งไม่อนุญาตให้ผัดการนำตัวจำเลยมาสาบานตามคำร้องของจำเลยแล้ว จึงไม่จำต้องสั่งคำร้องนี้

จำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้น (ที่ถูกต้องทำเป็นคำฟ้องอุทธรณ์คำสั่งและเสียค่าธรรมเนียมอย่างฟ้องอุทธรณ์คำสั่ง)

ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยกคำร้อง

จำเลยฎีกาคำสั่ง

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่ศาลชั้นต้นสั่งคำร้องขอฟ้องอุทธรณ์อย่างคนอนาถาของจำเลยว่า “โดยเหตุที่ศาลสั่งไม่อนุญาตให้ผัดการนำตัวจำเลยมาสาบานตามคำร้องของจำเลยแล้ว จึงไม่จำต้องสั่งคำร้องนี้” โดยมิได้กำหนดเวลาให้จำเลยนำเงินค่าธรรมเนียมอุทธรณ์มาชำระภายในระยะเวลาอันสมควร จำเลยจึงมีสิทธิฟ้องอุทธรณ์คำสั่งขอให้ศาลอุทธรณ์สั่งกำหนดเวลาให้ชำระค่าธรรมเนียมให้ครบภายในเวลาอันสมควรได้ ส่วนศาลอุทธรณ์จะเห็นควรกำหนดเวลาให้หรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะเป็นอำนาจทั่ว ๆ ไปในกรณีที่ไม่มีกฎหมายกำหนดไว้ โดยเฉพาะตามความยุติธรรมและเหมาะสมการที่ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งว่า “พิเคราะห์แล้วเห็นว่าผู้ร้องไม่มีสิทธิขอให้ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งกำหนดเวลาให้ผู้ร้องนำเงินค่าธรรมเนียมมาชำระตามขอยกคำร้อง” นั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา แต่ศาลฎีกาเห็นว่าไม่จำเป็นต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาว่าควรจะกำหนดเวลาให้จำเลยชำระค่าธรรมเนียมอุทธรณ์ให้ครบภายในเวลาอันสมควรหรือไม่ โดยศาลฎีกาจะวินิจฉัยไปเลยทีเดียว ศาลฎีกาได้พิเคราะห์รูปคดีและพฤติการณ์ต่าง ๆ แห่งคดีแล้ว เห็นว่า ไม่มีเหตุอันสมควรที่จะกำหนด เวลาให้จำเลยนำเงินค่าธรรมเนียมอุทธรณ์มาชำระตามที่จำเลยฎีกา

พิพากษายืนในแห่งคดี

Share