คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 985/2507

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

กรณีร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ถูกยึดนั้น เมื่อฟังว่าหนี้ตามคำพิพากษาที่ภรรยาก่อขึ้นเป็นหนี้ร่วมแล้ว ผู้ร้องซึ่งเป็นสามีจะอ้างว่าทรัพย์ที่ยึดนั้นเป็นสินเดิมและขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึดนั้น ย่อมไม่ได้

ย่อยาว

ศาลพิพากษาตามยอมให้จำเลยใช้เงินจำนวนหนึ่งแก่โจทก์ ต่อมาจำเลยไม่ใช้โจทก์นำยึดทรัพย์ ผู้ร้องร้องว่าทรัพย์ที่ถูกยึดเป็นสินเดิมของผู้ร้อง ผู้ร้องกับจำเลยเป็นสามีภรรยากันจริง แต่จำเลยไปทำหนี้เงินกู้โดยผู้ร้องไม่ได้อนุญาต จึงไม่ต้องรับผิดใช้หนี้ร่วมด้วยขอให้ศาลสั่งปล่อยทรัพย์ที่ยึด

โจทก์ให้การว่า หนี้ตามคำพิพากษาที่จำเลยกู้นั้น ผู้ร้องได้ทราบมาก่อน และเคยขอผัดชำระหนี้แทนจำเลยหลายครั้งก่อนที่โจทก์จะฟ้อง ผู้ร้องมิได้บอกล้างนิติกรรมแต่อย่างใดจึงเป็นการให้สัตยาบัน ทั้งทรัพย์ที่ยึดมาเป็นสินสมรส โจทก์ชอบที่จะยึดได้ขอให้ยกคำร้อง

ศาลชั้นต้นฟังว่า ทรัพย์ที่โจทก์นำยึดเป็นสินสมรส และจำเลยได้กู้ไปเพื่อแต่งงานบุตรสาว ผู้ร้องน่าจะรู้ดี เป็นการให้สัตยาบันโดยปริยายแล้ว ถือเป็นหนี้ร่วม โจทก์จึงมีสิทธิยึดไม่จำต้องร้องขอให้แยกสินบริคณห์เสียก่อน พิพากษาให้ยกคำร้องของผู้ร้องเสีย

ผู้ร้องอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ฟังว่า ทรัพย์ที่ยึดเป็นสินเดิมของผู้ร้อง เมื่อขายไปได้เงินมาเงินนั้นก็เข้าแทนที่สินเดิม ตามมาตรา 1465 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ครั้นเอาเงินไปสร้างหรือเปลี่ยนเป็นห้องแถวเรือนครัวที่ถูกยึด ทรัพย์ดังกล่าวนี้ก็กลายเป็นสินเดิมของผู้ร้องเมื่อเจ้าของสินเดิมไม่ใช่ลูกหนี้ตามคำพิพากษา ไม่มีเหตุอะไรตามกฎหมายที่จะถูกบังคับคดีโจทก์ยึดสินเดิมของผู้ร้องจึงไม่ถูกต้อง ส่วนข้อเถียงเรื่องหนี้ร่วม ศาลอุทธรณ์เห็นว่าไม่เป็นประโยชน์แก่คดี จึงไม่จำต้องวินิจฉัย พิพากษากลับ ให้ปล่อยห้องแถวและเรือนครัวที่ถูกยึดตามที่ผู้ร้องร้องมาในคดีนี้เสีย

มีผู้พิพากษาทำความเห็นแย้งว่า ทรัพย์รายพิพาทได้ปลูกขึ้นระหว่างผู้ร้องกับจำเลยเป็นสามีภรรยากัน ในเบื้องต้นต้องถือว่าเป็นสินสมรส และตกเป็นสินบริคณห์ ทั้งหนี้รายนี้เป็นหนี้ร่วมโจทก์จึงมีอำนาจยึดทรัพย์รายพิพาทได้ เห็นควรให้ยกคำร้องของผู้ร้องขัดทรัพย์

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาฟังว่า ทรัพย์รายนี้แม้จะฟังว่าเป็นสินเดิมตามที่ผู้ร้องโต้แย้ง ก็ยังตกอยู่ภายใต้บทบัญญัติแห่งมาตรา 1462 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ที่บัญญัติให้ทรัพย์สินระหว่างสามีภรรยานอกจากที่แยกไว้เป็นสินส่วนตัวโดยเฉพาะเป็นสินบริคณห์ ซึ่งรวมทั้งสินเดิมของทั้งสองฝ่ายและสินสมรส หนี้รายนี้ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยผู้เป็นภรรยาของผู้ร้องได้กู้เงินโจทก์ไปทำการแต่งงานบุตรสาวของจำเลย ซึ่งผู้ร้องมิได้ปฏิเสธว่าไม่ใช่หนี้ร่วมเป็นแต่ต่อสู้ว่าไม่ได้ให้ความยินยอม ซึ่งข้อเท็จจริงได้ความว่า ผู้ร้องได้ให้สัตยาบันโดยจะใช้หนี้รายนี้ให้แก่โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาด้วยซ้ำ หนี้รายนี้จึงเป็นหนี้ร่วม โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาจึงมีสิทธินำยึดทรัพย์รายนี้

พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share