แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันนำโฉนดที่ดินที่รู้อยู่แล้วว่าเป็นโฉนดที่ดินปลอมไปใช้หลอกลวงโจทก์ร่วมเพื่อให้โจทก์ร่วมหลงเชื่อยอมให้กู้เงินตามที่จำเลยทั้งสามต้องการ เป็นการร่วมกันใช้เอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการปลอม ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 268 วรรคแรก ประกอบด้วยมาตรา 266 และฉ้อโกงโจทก์ร่วมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341,83 เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคแรกประกอบด้วยมาตรา 266 ซึ่งเป็นบทหนักตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 โจทก์ร่วมฟ้องจำเลยที่ 2 ฐานกระทำผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คภายหลังโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2เป็นคดีนี้ และศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ร่วมเข้าเป็นโจทก์ร่วมในคดีนี้แล้วฟ้องของโจทก์ในคดีนี้ไม่เป็นฟ้องซ้อนกับฟ้องของโจทก์ร่วมในคดีดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173(1) และแม้การออกเช็คอันเป็นมูลที่โจทก์ร่วมนำมาฟ้องจำเลยที่ 2 ในคดีดังกล่าวกับการใช้โฉนดที่ดินปลอมอันเป็นมูลที่โจทก์นำมาฟ้องจำเลยที่ 2ในคดีนี้ จะเป็นการกร ะทำโดยมีเจตนาเพื่อฉ้อโกงโจทก์ร่วมเช่นเดียวกันแต่คดีดังกล่าวโจทก์ร่วมขอถอนฟ้องและศาลฎีกามีคำสั่งอนุญาตไปแล้ว ถือไม่ได้ว่าศาลได้มีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 เป็นคดีนี้แล้ว ฟ้องของโจทก์ในคดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำกับฟ้องของโจทก์ร่วมในคดีดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(4) และการที่โจทก์ร่วมถอนฟ้องคดีดังกล่าวซึ่งเป็นความผิดอันยอมความได้ ไม่มีผลทำให้สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโก์ในความผิดฐานใช้เอกสารปลอมซึ่งมิใช่ความผิดอันยอมความได้ระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2) ด้วย
ย่อยาว
คดีสองสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษารวมกันโดยให้เรียกจำเลยในสำนวนคดีแรกเป็นจำเลยที่ 1 เรียกจำเลยที่ 1 และที่ 2ในสำนวนคดีหลังเป็นจำเลยที่ 2 และที่ 3
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา83, 91, 264, 266, 268, 341 ริบของกลาง และให้คืนเงิน 150,000 บาทแก่ผู้เสียหาย นับโทษจำเลยที่ 1 และที่ 3 ต่อจากโทษในคดีอื่นด้วย
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ แต่จำเลยที่ 1 ที่ 3 รับว่าเป็นบุคคลเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ระหว่างพิจารณา ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 266 ประกอบด้วยมาตรา 268 วรรคหนึ่ง,341, 83 เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามมาตรา 266ประกอบด้วยมาตรา 268 วรรคหนึ่ง ซึ่งเป็นบทหนักตามมาตรา 90จำคุกจำเลยทั้งสามคนละ 6 ปี ริบของกลาง นับโทษจำเลยที่ 1 ที่ 3ต่อตามฟ้อง คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ก่อนส่งสำนวนไปยังศาลอุทธรณ์ โจทก์ร่วมยื่นคำร้องขอถอนคำร้องทุกข์สำหรับคดีที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 ทุกข้อหา ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วยมาตรา 266ให้ยกคำขอที่ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันคืนเงิน 150,000 บาท และไม่นับโทษจำเลยที่ 1 ต่อ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสามฎีกา ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา จำเลยที่ 3ขอถอนฎีกา ศาลฎีกามีคำสั่งอนุญาต
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันนำโฉนดที่ดินที่รู้อยู่แล้วว่าเป็นโฉนดที่ดินปลอมไปใช้หลอกลวงโจทก์ร่วมเพื่อให้โจทก์ร่วมหลงเชื่อยอมให้กู้เงินตามที่จำเลยทั้งสามต้องการการกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงเป็นการร่วมกันใช้เอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการปลอม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคแรกและจำเลยที่ 1 ร่วมฉ้อโกงโจทก์ร่วมตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 341, 83 ด้วย ซึ่งการกระทำเฉพาะของจำเลยที่ 1 เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท จึงต้องลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 268 วรรคแรก ซึ่งเป็นบทหนัก ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90
แล้ววินิจฉัยต่อไปว่า ข้อเท็จจริงปรากฏในฎีกาของจำเลยที่ 2เองว่าโจทก์ร่วมยื่นฟ้องจำเลยที่ 2 ฐานกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติเช็ค เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2529 ภายหลังโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 เป็นคดีนี้และศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ร่วมเข้าเป็นโจทก์ร่วมในคดีนี้แล้ว ฟ้องของโจทก์ในคดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้อนกับฟ้องของโจทก์ร่วมในคดีดังกล่าว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 173(1) และแม้การออกเช็คอันเป็นมูลที่โจทก์ร่วมนำมาฟ้องจำเลยที่ 2 ในคดีดังกล่าวกับการใช้โฉนดที่ดินปลอมอันเป็นมูลที่โจทก์นำมาฟ้องจำเลยที่ 2 ในคดีนี้ จะเป็นการกระทำโดยมีเจตนาเพื่อฉ้อโกงโจทก์ร่วมเช่นเดียวกัน แต่ข้อเท็จจริงปรากฏในฎีกาของจำเลยที่ 2 ด้วยว่า คดีดังกล่าวโจทก์ร่วมขอถอนฟ้องและศาลฎีกามีคำสั่งอนุญาตไปแล้ว ถือไม่ได้ว่าศาลได้มีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 เป็นคดีนี้แล้วฟ้องของโจทก์ในคดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำกับฟ้องของโจทก์ร่วมในคดีดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(4) และการที่โจทก์ร่วมถอนฟ้องคดีดังกล่าวซึ่งเป็นความผิดอันยอมความได้ ไม่มีผลทำให้สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ในความผิดฐานใช้เอกสารปลอมซึ่งมิใช่ความผิดอันยอมความได้ระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2) ด้วย แต่คดีมีเหตุสมควรลดโทษให้แก่จำเลยที่ 2
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลดโทษจำเลยที่ 2 หนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 4 ปีนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์