คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 507/2507

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ยกเอาดอกเบี้ยส่วนที่เกินอัตรา ซึ่งกฎหมายกำหนดไว้มาทำเป็นสัญญากู้เงินใหม่ สัญญานั้นย่อมเป็นโมฆะ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกู้เงินโจทก์ไป 16,580 บาท คิดดอกเบี้ยร้อยละ 1.25 บาทต่อเดือน โดยจำเลยนำโฉนดที่ดินที่ 8561 ให้โจทก์ยึดไว้ ถึงกำหนดชำระโจทก์ได้ทวงถาม จำเลยเพิกเฉย ขอบังคับจำเลยใช้ต้นเงินและดอกเบี้ยรวม 21,238 บาท ให้แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อเดือนในต้นเงินนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ

จำเลยให้การว่า โฉนดที่ 8561 นี้ เดิมจำเลยจำนองไว้แก่โจทก์เอาเงินไปสองครั้งรวม 23,000 บาท คิดดอกเบี้ยร้อยละ 2.75 บาทแต่ระบุไว้ในสัญญาจำนองร้อยละ 1.25 บาท ส่วนอีกร้อยละ 1.50 บาทนั้นเป็นอัตราดอกเบี้ยที่เกินกำหนดอัตราตามกฎหมาย ซึ่งจำเลยมิได้ชำระให้โจทก์เป็นเวลา 4 ปี โจทก์จึงให้จำเลยทำสัญญากู้ให้ตามฟ้อง ต่อมาจำเลยได้ชำระดอกเบี้ยตามสัญญากู้ให้โจทก์เสร็จสิ้นไปแล้ว แต่โจทก์ไม่คืนสัญญากู้นั้นให้ สัญญากู้นั้นจึงเป็นโมฆะเพราะโจทก์คิดดอกเบี้ยเกินกำหนดกฎหมาย การจำนองที่ดินรายนี้โจทก์ได้ฟ้องจำเลยต่อศาล และได้ทำยอมกันเสร็จไปแล้วตามคดีแพ่งแดงที่ 34/2504 จึงเป็นฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148

ศาลชั้นต้นตัดสินว่า คดีเป็นคนละประเด็น ไม่เป็นการฟ้องซ้ำกับคดีก่อน ข้อเท็จจริงฟังตามที่จำเลยต่อสู้ว่าเงินรายนี้ยกเอาดอกเบี้ยจำนองที่ดินระหว่างโจทก์จำเลยส่วนซึ่งเกินอัตรากฎหมายมาทำเป็นสัญญากู้เงินต้นขึ้น ย่อมเป็นโมฆะไม่มีผลผูกพันจำเลยพิพากษายกฟ้องโจทก์

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระต้นเงินและดอกเบี้ยตามฟ้อง

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า การกู้เงินรายนี้ออกเศษเป็น 16,580 บาทเมื่อคำนวณดูดอกเบี้ยอัตราที่เกินไปร้อยละ 1.50 บาท ระยะเวลา 4 ปี ก็เป็นเงิน 16,560 บาทพอดี รวมกับอีก 20 บาท เป็นค่ากระดาษและค่าอากรก็ได้จำนวน 16,580 บาทลงตัว รูปคดีน่าเชื่อว่าหนี้สินตามสัญญากู้รายนี้มีส่วนเกี่ยวเนื่องพัวพันอยู่กับหนี้จำนองนั่นเอง คือดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดไว้ ซึ่งจำเลยยังค้างแก่โจทก์อยู่สัญญาจึงตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 113 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์

Share