คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1067/2507

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อการที่จำเลยลงลายมือชื่อปลอมลงในตั๋วแลกเงินธนาคารออมสินนั้น เป็นการกระทำส่วนหนึ่งที่ต้องทำลงในเอกสารดังกล่าว เพื่อให้เอกสารนั้นสมบูรณ์ครบถ้วน เพื่อที่เจ้าหน้าที่ธนาคารออมสินจะจ่ายเงินให้ และก็ทำให้เจ้าหน้าที่หลงเชื่อว่าเป็นผู้ทรงที่แท้จริงจึงได้จ่ายเงินให้จำเลยรับไป ดังนี้ ย่อมเป็นไปโดยประการที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้มีสิทธิรับเงินที่แท้จริงและแก่ธนาคารออมสิน การกระทำของจำเลยเป็นผิดตามมาตรา266(4) แต่การลงลายมือชื่อปลอมก็เพื่อให้ได้ไปซึ่งทรัพย์สิน คือ เงิน อันเป็นการกระทำส่วนหนึ่งในกรรมที่เป็นความผิดฐานฉ้อโกงตามมาตรา 342(1) การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ซึ่งมาตรา 90 ให้ใช้กฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดลงโทษ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าจำเลยผิดมาตรา 264 อีกกระทงหนึ่งนั้น แม้จำเลยไม่ได้ฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยให้เป็นผลดีแก่จำเลยได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกระทำผิดต่อกฎหมายหลายบท คือ บังอาจนำตั๋วแลกเงินเพื่อเดินทาง 3 ฉบับ มีนายเพิ่มศักดิ์เป็นผู้ทรงหรือผู้สั่งจ่าย สั่งให้ธนาคารออมสินจ่ายเงินให้แก่นางสมจิต ภาคพิเศษไปแสดงขอรับเงินจากนางพนิดาผู้จัดการธนาคารออมสิน โดยจำเลยแสดงตนอันเป็นเท็จว่า จำเลยคือนางสมจิต ภาคพิเศษ นางพนิดาบุตรขัน หลงเชื่อจ่ายเงินให้แก่จำเลย 3,000 บาท และต่อมาในขณะนั้นเอง จำเลยบังอาจเขียนลายมือชื่อนางสมจิตภาคพิเศษ ปลอมลงในตั๋วแลกเงินทั้ง 3 ฉบับ น่าจะเกิดความเสียหายแก่ธนาคารออมสินนางพนิดา นายเพิ่มศักดิ์ นางสมจิต นางพนิดาหลงเชื่อว่าเป็นลายมือชื่อแท้จริง ได้จ่ายเงิน 3,000 บาทให้จำเลยไปดังกล่าวข้างต้นขอให้ลงโทษตามมาตรา 264, 266, 342 ให้คืนหรือใช้เงิน

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลอาญาเห็นว่า จำเลยกระทำผิดฐานฉ้อโกง แต่ไม่เข้าเกณฑ์ความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิ พิพากษาว่าจำเลยผิดตามมาตรา 342(1)จำคุก 1 ปี ให้คืนหรือใช้เงิน

โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษฐานปลอมเอกสารตามมาตรา 264 และ 266

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ว่า จำเลยผิดตามมาตรา 264 อีกกระทงหนึ่งจำคุกสำหรับกระทงนี้ 1 ปี รวมเป็น 2 ปี นอกนั้นยืน

โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษตามมาตรา 266 ด้วย

ศาลฎีกาเห็นว่า การรับเงินตามตั๋วแลกเงินนั้น นอกจากผู้ทรงจะต้องนำตั๋วแลกเงินไปยื่นเพื่อให้ใช้เงินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 941 แล้ว ตามมาตรา 945 การใช้เงินจะเรียกเอาได้ต่อเมื่อได้เวนตั๋วแลกเงินให้ ผู้ใช้เงินจะให้ผู้ทรงลงลายมือชื่อรับเงินในตั๋วแลกเงินนั้นก็ได้ ทางพิจารณาได้ความว่า ผู้ที่จะรับเงินตามตั๋วแลกเงิน จะต้องได้ลงลายมือชื่อของผู้ที่ปรากฏชื่อตามตั๋วแลกเงินนั้นสลักหลังลงในตั๋วต่อหน้าเจ้าหน้าที่ธนาคารออมสินแสดงว่าได้รับเงินไปแล้ว เจ้าหน้าที่ธนาคารออมสินจึงจะจ่ายเงินให้ ฉะนั้น การที่จำเลยลงลายมือชื่อนางสมจิตปลอมลงในตั๋วแลกเงินจึงเป็นการกระทำส่วนหนึ่งที่ต้องทำลงในเอกสารดังกล่าวเพื่อให้เอกสารนี้สมบูรณ์ครบถ้วน เพื่อที่เจ้าพนักงานจะจ่ายเงินให้ และเจ้าหน้าที่ธนาคารหลงเชื่อว่าเป็นผู้ทรงที่แท้จริง จึงจ่ายเงินให้จำเลยไปย่อมเห็นได้ชัดว่า เป็นไปโดยประการที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่นางสมจิตผู้มีสิทธิรับเงินที่แท้จริง และแก่ธนาคารออมสินการกระทำของจำเลยต้องด้วยลักษณะที่บัญญัติไว้ในมาตรา 266(4) ด้วยแต่ไม่เป็นผิดหลายกระทง เพราะการลงลายมือชื่อปลอมในตั๋วแลกเงินก็เพื่อให้ได้ไปซึ่งทรัพย์สิน คือ เงิน 3,000 บาท อันเป็นการกระทำส่วนหนึ่งในกรรมที่เป็นความผิดฐานฉ้อโกงนั่นเอง ซึ่งเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า จำเลยผิดตามมาตรา 264 อีกกระทงหนึ่ง แม้จำเลยไม่ฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยให้เป็นผลดีแก่จำเลยได้

พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยผิดตามมาตรา 342(1) และ 266(4)ให้ลงโทษตามมาตรา 266(4) ซึ่งเป็นบทหนักตามมาตรา 90 จำคุก 2 ปีนอกนั้นยืน

Share