คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 68/2507

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีเรื่องก่อน โจทก์ซึ่งเป็นทายาทคนหนึ่งฟ้องนางสาวเสงี่ยมซึ่งเป็นทายาทด้วยกันขอส่วนแบ่งมรดก ทายาทคนอื่นมิได้เข้าเป็นคู่ความร่วมเพื่อขอส่วนแบ่งด้วย คดีถึงที่สุดโดยโจทก์กับนางสาวเสงี่ยมตกลงประนีประนอมยอมความกันให้ที่นามรดกโฉนดที่ 2154 และ 2155 ได้แก่โจทก์ ทรัพย์นอกนั้นได้แก่นางสาวเสงี่ยม ต่อมาโจทก์ไปจัดการขอรับมรดกที่ดินโฉนดนั้นต่อสำนักงานที่ดิน ทายาทอื่นได้โต้แย้งการรับมรดก โจทก์จึงฟ้องทายาทอื่นเป็นจำเลยขอให้ห้ามจำเลยเข้าเกี่ยวข้องและถอนคำโต้แย้งนั้น จำเลยให้การตัดฟ้องว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความมรดก ดังนี้ การฟ้องร้องคดีเรื่องก่อนต้องฟ้องภายในอายุความ คือภายใน 1 ปี อายุความจึงจะสะดุดหยุดอยู่ อันอาจเป็นเหตุทำให้โจทก์ฟ้องคดีเรื่องหลังเกินกว่า 1 ปีได้ แต่ปรากฎว่าเจ้ามรดกตายเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2501 แต่โจทก์ฟ้องคดีเรื่องก่อนเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2502 เป็นเวลาเกินกว่า 1 ปี ขาดอายุความแล้ว ดังนั้นการฟ้องคดีเรื่องก่อนของโจทก์จึงไม่เป็นเหตุทำให้โจทก์มีสิทธิฟ้องคดีเรื่องหลังได้เกินกว่า 1 ปี เมื่อคดีเรื่องหลังปรากฎว่าจำเลยเป็นฝ่ายครอบครองนาพิพาทรายนี้ตลอดมา และนับแต่เจ้ามรดกตาย โจทก์มิได้ครอบครองนาพิพาทรายนี้เลยเป็นเวลาเกือบ 2 ปี คดีเรื่องหลังของโจทก์ย่อมขาดอายุความมรดก

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จำเลยนางสาวเสงี่ยมต่างเป็นทายาทของนางสวนเจ้ามรดก นางสวนเจ้ามรดกวายชนม์เมื่อ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๐๑ มีทรัพย์มรดกหลายอย่างตามบัญชีท้ายฟ้อง นางสาวเสงี่ยมอ้างว่าเป็นผู้รับพินัยกรรมแต่ผู้เดียว โจทก์จึงฟ้องนางสาวเสงี่ยมขอแบ่งมรดก ทายาทอื่นรวมทั้งจำเลยทราบแล้ว หาได้เข้ามาเป็นคู่ความร่วมเพื่อขอส่วนแบ่งไม่ ถือว่าสละมรดกแล้ว ผลของคดีคือ โจทก์กับนางสาวเสงี่ยมตกลงประนีประนอมยอมความกันให้ที่นาโฉนดที่ ๒๑๕๔ และ ๒๑๕๕ ตกได้แก่โจทก์ ทรัพย์นอกนั้นได้แก่นางสาวเสงี่ยม โจทก์กับนางสาวเสงี่ยมได้จัดการขอรับมรดกที่ดินต่อสำนักงานที่ดินจังหวัดอ่างทาอง จำเลยทั้งสามได้ร่วมกันโต้แย้งการรับมรดกโดยไม่มีสิทธิแต่อย่างใด การมาโต้แย้งเป็นเวลาเกิน ๑ ปีนับแต่เจ้ามรดกวายชนม์ จำเลยมิได้ครอบครองทรัพย์มรดกร่วมกับโจทก์ ขอให้ศาลพิพากษาห้ามจำเลยเข้าเกี่ยวข้อง และถอนคำโต้แย้งนั้น
จำเลยทั้งสามให้การว่าจำเลยได้ครอบครองที่ดินสองโฉนดนั้นนับแต่เจ้ามรดกตายแล้ว มาจนบัดนี้โจทก์ไม่เคยครอบครองเลย โจทก์เพิ่งสร้างหลักฐานว่าเป็นผู้ครอบครองเมื่อ พ.ศ.๒๔๐๓ จำเลยไม่ทราบว่าโจทก์ฟ้องนางสาวเสงี่ยมและถือว่าสละมรดกไม่ได้ กับตัดฟ้องว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความมรดก และเป็นฟ้องซ้ำกับคดีแดงที่ ๙๒/๒๕๐๓
ศาลชั้นต้นเห็นว่า การที่จำเลยไม่เข้าเป็นคู่ความในคดีที่โจทก์ฟ้องนางสาวเสงี่ยมไม่ถือว่าเป็นการสละมรดก ฟ้องโจทก์ไม่เป็นฟ้องซ้ำ แต่โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อพ้น ๑ ปี และไม่ปรากฎว่าหลังจากนางสวนตายแล้วโจทก์ได้เข้าครอบครองนามรดกนี้ โจทก์เพิ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับที่นาหลังจากนางสวนตาแล้วเกือบ ๒ ปี คดีโจทก์ขาดอายุความ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเชื่อตามที่จำเลยนำสืบว่าจำเลยเป็นฝ่ายครอบครองนาพิพาทรายนี้ตลอดมา และฟังข้อเท็จจริงว่านับแต่นางสวนเจ้ามรดกตาย โจทก์มิได้ครอบครองนาพิพาทรายนี้เลยเป็นเวลาเกือบ ๒ ปี
ข้อที่โจทก์ฎีกาว่า คดีนี้ต่อเนื่องกับคดีหมายเลขแดงที่ ๙๒/๒๕๐๓ แม้จะเกิน ๑ ปี ก็ยังนำคดีมาฟ้องได้ตามฎีกาที่ ๑๖๓/๒๔๗๑ ศาลฎีกาเห็นว่า แม้จะถือว่าคดีนี้ต่อเนื่องกับคดีหมายเลขแดงที่ ๙๒/๒๕๐๓ ก็ดี การฟ้องร้องคดีเลขแดงที่ ๙๒/๒๕๐๓ ต้องฟ้องร้องภายในอายุความ คือภายใน ๑ ปี อายุความจึงจะสะดุดหยุดอยู่อันอาจเป็นเหตุทำให้โจทก์ฟ้องในคดีนี้เกินกว่า ๑ ปีได้ แต่ปรากฎว่าคดีหมายเลขแดงที่ ๙๒/๒๕๐๓ โจทก์ฟ้องเมื่อ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๐๒ และนางสวนเจ้ามรดกตายเมื่อ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๐๑ เป็นเวลาเกินกว่า ๑ ปี คดีของโจทก์เลขแดงที่ ๙๒/๒๕๐๓ จึงขาดอายุความแล้ว ดังนั้น การฟ้องคดีเลขแดงที่ ๙๒/๒๕๐๓ ของโจทก์ไม่เป็นเหตุทำให้โจทก์มีสิทธิฟ้องคดีนี้ได้เกินกว่า ๑ ปีดังฎีกาโจทก์
ศาลฎีกาเห็นว่า คดีโจทก์ขาดอายุความ พิพากษายืน

Share