แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
หนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3)เป็นเพียงคำรับรองจากพนักงานเจ้าหน้าที่ว่าได้ทำประโยชน์ในที่ดินแล้ว และให้โอนกันได้เท่านั้น หาใช่เป็นหลักฐานกรรมสิทธิ์ว่าผู้มีชื่อในหนังสือนั้นเป็นเจ้าของที่ดินทางทะเบียนเช่นโฉนดที่ดินไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้องขัดขวาง อ้างว่าโจทก์ได้ซื้อที่พิพาทจากนายหิรัญ อินทุภูติและได้ครอบครองตลอดมา
จำเลยให้การว่า ที่พิพาทเป็นที่ดินมือเปล่า นายหิรัญขายฝากไว้แก่จำเลยซึ่งรับซื้อไว้โดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนและหลุดเป็นสิทธิจนโอนทะเบียนมาเป็นของจำเลยและจำเลยได้ครอบครองมาโดยโจทก์ไม่คัดค้าน
ศาลชั้นต้นสอบข้อเท็จจริง คู่ความรับกันว่า เดิมนายหิรัญเป็นเจ้าของที่ดินมือเปล่าหนึ่งแปลง เนื้อที่ประมาณ ๑๔ ไร่ เมื่อวันที่ ๙ สิงหาคม ๒๔๙๗ นายหิรัญได้ทำหนังสือต่อกรมการอำเภอท้องที่ขายที่ดินทั้งแปลงแก่โจทก์ โจทก์ได้ซื้อและเข้าครอบครองต่อมาวันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๐๔ นายหิรัญขอให้ทางอำเภอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์บางส่วนในที่ดินของโจทก์เฉพาะที่พิพาทเนื้อที่ ๗ไร่เศษ แล้วนายหิรัญจดทะเบียนขายฝากที่พิพาทนั้นต่ออำเภอให้แก่จำเลยเมื่อวันที่ ๑๙ ตุลาคม ๒๕๐๔ มีกำหนด ๑ ปี ครบ ๑ ปี นายหิรัญไม่ได้ซื้อคืน จำเลยซื้อไว้โดยสุจริตไม่ทราบว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์มาก่อน และการขายฝากนี้โจทก์ไม่ทราบเรื่องเช่นกัน จำเลยแถลงว่าเมื่อที่พิพาทพ้นกำหนดไถ่แล้ว จำเลยเข้าครอบครองตลอดมาจนบัดนี้ โจทก์แถลงว่าโจทก์เป็นฝ่ายครอบครองตลอดมาจนบัดนี้เช่นกัน ข้อที่โต้เถียงกันคงมีเพียงประเด็นว่า เมื่อนายหิรัญไม่ซื้อที่พิพาทคืนจากจำเลยตามกำหนดแล้ว ต่อแต่นั้นมาโจทก์หรือจำเลยเป็นฝ่ายครอบครองที่พิพาท ซึ่งคู่ความจะขอสืบในประเด็นข้อนี้ แต่ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้แล้ว สั่งงดสืบพยาน และพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์
ห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้องขัดขวางต่อไป
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่ดินแปลงนี้เป็นที่มือเปล่าเดิมเป็นของนายหิรัญ แล้วได้ทำหนังสือต่อกรมการอำเภอขายให้แก่โจทก์ทั้งแปลง ซึ่งเมื่อซื้อแล้วโจทก์ได้เข้าครอบครองและแจ้งการครอบครองไว้ ภายหลังจากนั้นประมาณ ๗ ปี คือ เมื่อวันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๐๔ นายหิรัญได้ขอให้ทางอำเภอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ในที่ดินของโจทก์รายนี้ส่วนหนึ่ง เฉพาะที่พิพาทเนื้อที่ประมาณ ๗ ไร่เศษ แล้วในวันที่ ๑๙ เดือนเดียวกัน นายหิรัญได้ทำหนังสือต่ออำเภอขายฝากที่พิพาทให้แก่จำเลยมีกำหนด ๑ ปี แล้วนายหิรัญไม่ได้ซื้อคืนภายในระยะเวลานั้น
ข้อเท็จจริงเป็นอันรับกันว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ การที่นายหิรัญได้หนังสือรับรองการทำประโยชน์สำหรับที่พิพาทมาในนามของนายหิรัญ จึงไม่ทำให้นายหิรัญเป็นเจ้าของที่พิพาทดดยชอบด้วยกฎหมาย อันหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ดินนี้ ตามพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.๒๔๙๗ มาตรา ๙ บัญญัติเพียงว่า ที่ดินที่ได้รับคำรับรองจากนายอำเภอว่าได้ทำประโยชน์แล้ว ให้โอนกันได้เท่านั้น หาใช่เป็นหลักฐานกรรมสิทธิ์ว่านายหิรัญเป็นเจ้าของที่ดินนั้นทางทะเบียนเช่นโฉนดที่ดินไม่ จึงจะนำความในมาตรา ๑๒๙๙,๑๓๐๐ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาใช้แก่กรณีนี้ไม่ได้ เมื่อนายหิรัญไม่มิสิทธิที่จะโอนขายที่ดินให้แก่จำเลยได้แล้ว จำเลยผู้รับโอนก็ไม่มีสิทธิดีไปกว่านายหิรัญ แม้จำเลยจะได้รับซื้อฝากไว้โดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนก็ดี จำเลยก็ไม่ได้สิทธิในที่พิพาทเพราะการนั้นตามนัยฎีกาที่ ๑๗๓๙/๒๔๙๔
ศาลฎีกาวินิจฉัยต่อไปว่า ที่ศาลชั้นต้นฟ้องข้อเท็จจริงตามที่คู่ความแถลงแล้วสั่งงดสืบพยานเรื่องการครอบครองภายหลังการขายฝากครบอายุโดยเห็นว่าไม่จำเป็นนั้นชอบแล้ว
พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้บังคับคดีไปตามศาลชั้นต้น