แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 335 ให้จำเลยคืนแหวนทองคำ กำไลทองคำและสร้อยคำทองคำหรือใช้ราคา 37,300 บาท แก่ผู้เสียหาย ในระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น ผู้เสียหายยื่นคำร้องว่าได้รับเงิน 40,000 บาท จากจำเลยเพื่อใช้ค่าเสียหายและค่าทรัพย์สินที่ไม่ได้คืนแล้ว ผู้เสียหายไม่ติดใจเรียกร้องค่าเสียหายอีก จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดคืนทรัพย์หรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนแก่ผู้เสียหาย การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 335 (4) และให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนเป็นเงิน 37,300 บาท แก่ผู้เสียหาย จึงไม่ชอบ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อระหว่างวันที่ 25 กรกฎาคม 2548 เวลากลางคืนหลังเที่ยงถึงวันที่ 26 กรกฎาคม 2548 เวลากลางคืนก่อนเที่ยง วันเวลาใดไม่ปรากฏชัด จำเลยปีนกำแพงขึ้นไปงัดเหล็กดัดหน้าต่างของบ้าน อันเป็นการทำอันตรายสิ่งกีดกั้นสำหรับคุ้มครองบุคคลและทรัพย์ แล้วปีนผ่านหน้าต่างดังกล่าวเข้าไปในบ้านพักอันเป็นเคหสถานของนายวรเชษฐ์ วชิรทรงคุณ ผู้เสียหายโดยไม่ได้รับอนุญาต แล้วลักทองคำและเพชรรูปพรรณต่าง ๆ รวม 14 รายการ ราคารวม 1,383,300 บาท ของผู้เสียหายซึ่งเก็บรักษาไว้ในเคหสถานดังกล่าวไปโดยทุจริต โดยในการลักทรัพย์ดังกล่าวจำเลยได้ใช้รถยนต์กระบะเป็นยานพาหนะเพื่อสะดวกในการกระทำผิด การพาทรัพย์นั้นไปและเพื่อให้พ้นการจับกุม เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยได้พร้อมทรัพย์บางส่วนของผู้เสียหายที่ถูกลักไปรวม 14 รายการ ราคารวม 1,346,000 บาท เป็นของกลาง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 (1) (3) (8) ให้จำเลยคืนแหวนทองคำหนึ่งสลึง 1 วง กำไลทองคำสองสลึง 2 วง กำไลทองคำหนักหนึ่งบาท 1 วง และสร้อยคอทองคำหนักหนึ่งบาท 1 เส้น หรือใช้ราคา 37,300 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 (1) (3) (4) (8) วรรคสอง ลงโทษจำคุก 7 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 3 ปี 6 เดือน และให้จำเลยคืนแหวนทองคำหนักหนึ่งสลึง 1 วง กำไลทองคำหนักสองสลึง 2 วง กำไลทองคำหนักหนึ่งบาท 1 วง และสร้อยคอทองคำหนักหนึ่งบาท 1 เส้น ซึ่งยังไม่ได้คืนหรือใช้ราคาเป็นเงิน 37,300 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำคุกจำเลย 5 ปี ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงจำคุก 2 ปี 6 เดือน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “อนึ่ง คดีนี้โจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยลักทรัพย์โดยเข้าทางช่องทางซึ่งได้ทำขึ้นโดยไม่จำนงให้เป็นทางคนเข้าหรือเข้าทางช่องทางซึ่งผู้เป็นใจเปิดใจไว้ให้ จึงไม่อาจลงโทษจำเลยในข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 (4) ได้ นอกจากนี้ปรากฏว่าในระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น ผู้เสียหายยื่นคำร้องว่าได้รับเงิน 40,000 บาท จากจำเลยเพื่อใช้ค่าเสียหายและค่าทรัพย์สินที่ไม่ได้คืนแล้ว ผู้เสียหายไม่ติดใจเรียกร้องค่าเสียหายอีก จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดคืนทรัพย์หรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนแก่ผู้เสียหาย ดังนั้น ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 (4) ด้วย และให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนเป็นเงิน 37,300 บาท แก่ผู้เสียหาย จึงไม่ชอบและศาลอุทธรณ์ภาค 4 ก็ไม่ได้แก้ไขให้ถูกต้อง ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้คู่ความมิได้ฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 (1) (3) (8) วรรคสอง ยกคำขอให้จำเลยคืนทรัพย์หรือใช้ราคาทรัพย์เป็นเงิน 37,300 บาท แก่ผู้เสียหายนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4.