คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9542/2557

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตาม ป.รัษฎากร มาตรา 30 บัญญัติว่า ในการอุทธรณ์การประเมินภาษีอากรให้อุทธรณ์ภายในกำหนดเวลาสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งการประเมิน กรณีตามคำฟ้องของโจทก์ไม่ใช่เรื่องอุทธรณ์การประเมินภาษีอากรที่เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยได้ประเมินไว้ให้โจทก์เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามหนังสือแจ้งภาษีเงินได้นิติบุคคล แต่เป็นการอุทธรณ์คำสั่งไม่ขยายเวลาการยื่นอุทธรณ์ของจำเลยตาม มาตรา 3 อัฏฐ แห่ง ป.รัษฎากร ซึ่งตาม พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539 มาตรา 40 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “คำสั่งทางปกครองที่อาจอุทธรณ์หรือโต้แย้งต่อไปได้ให้ระบุกรณีที่อาจอุทธรณ์หรือโต้แย้ง การยื่นคำอุทธรณ์หรือคำโต้แย้ง และระยะเวลาสำหรับการอุทธรณ์หรือการโต้แย้งดังกล่าวไว้ด้วย” เมื่อพิจารณาคำวินิจฉัยอุทธรณ์ตอนท้ายมีหมายเหตุระบุว่า หากท่านประสงค์จะฟ้องโต้แย้งคำวินิจฉัยนี้ให้ทำคำฟ้องเป็นหนังสือยื่นต่อศาลปกครอง… ภายใน 90 วัน นับแต่วันที่รับแจ้งหรือทราบคำวินิจฉัย ดังนั้น เมื่อโจทก์ได้รับคำวินิจฉัยของจำเลยที่ยืนตามคำสั่งที่ไม่อนุมัติให้โจทก์ขยายกำหนดเวลาการอุทธรณ์การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินฉบับลงวันที่ 18 พฤศจิกายน 2552 ซึ่งโจทก์ได้รับหนังสือดังกล่าวในวันที่ 2 ธันวาคม 2552 การที่โจทก์ฟ้องจำเลยในวันที่ 2 มีนาคม 2553 จึงเป็นการยื่นฟ้องภายในกำหนดเวลาตามคำวินิจฉัยอุทธรณ์ที่กล่าวมาข้างต้น ดังนั้น ที่ศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องโจทก์มานั้นจึงไม่ชอบ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ศาลมีคำสั่งขยายเวลาให้โจทก์ยื่นอุทธรณ์การประเมินของจำเลยศาลภาษีอากรกลางพิจารณาคำฟ้องแล้วมีคำสั่งว่า โจทก์รับว่าได้รับคำวินิจฉัยอุทธรณ์เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2552 จึงล่วงเลยกำหนดเวลาที่โจทก์จะอุทธรณ์การประเมินตามมาตรา 30 แห่งประมวลรัษฎากร จึงไม่รับคำฟ้อง ให้คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมดแก่โจทก์
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า ปัญหาตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ ที่โจทก์อุทธรณ์โต้แย้งว่า การที่โจทก์ไม่ได้อุทธรณ์การประเมินภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ 21 พฤศจิกายน 2551 ที่เป็นวันปิดหมาย เนื่องจากโจทก์ปิดกิจการและหุ้นส่วนผู้จัดการไม่ได้อยู่ที่สถานประกอบการ จึงไม่ได้รับหมายเรียกหรือเอกสารและหนังสือแจ้งการประเมินภาษีเงินได้นิติบุคคลจากจำเลย พฤติการณ์ของโจทก์ถือเป็นเหตุจำเป็นจนไม่สามารถจะปฏิบัติตามกำหนดเวลาได้ อันเป็นเหตุให้โจทก์มีสิทธิขอขยายกำหนดเวลายื่นอุทธรณ์การประเมิน และเมื่อโจทก์ทราบคำสั่งยกอุทธรณ์ของจำเลยที่ไม่อนุมัติให้โจทก์ขยายกำหนดเวลายื่นอุทธรณ์การประเมินในวันที่ 2 ธันวาคม 2552 จึงนำคดีมาฟ้องจำเลยคัดค้านคำสั่งที่ไม่อนุมัติให้โจทก์ขยายเวลายื่นอุทธรณ์การประเมินภายใน 90 วัน ขอให้ศาลมีคำสั่งขยายเวลาให้โจทก์ยื่นอุทธรณ์การประเมินของจำเลย โจทก์ไม่ได้ยื่นฟ้องคัดค้านการประเมินของเจ้าพนักงานประเมิน โจทก์จึงไม่จำต้องยื่นฟ้องจำเลยภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งการประเมินของจำเลยตามมาตรา 30 แห่งประมวลรัษฎากรนั้น ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรเห็นว่า ประมวลรัษฎากร มาตรา 30 บัญญัติว่า ในการอุทธรณ์การประเมินภาษีอากรให้อุทธรณ์ภายในกำหนด เวลาสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งการประเมิน กรณีตามคำฟ้องของโจทก์ไม่ใช่เรื่องอุทธรณ์การประเมินภาษีอากรที่เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยได้ประเมินไว้ให้โจทก์เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามหนังสือแจ้งภาษีเงินได้นิติบุคคล แต่เป็นการฟ้องคดีต่อศาลภาษีอากรเนื่องจากจำเลยยกอุทธรณ์คำสั่งไม่ขยายเวลาการยื่นอุทธรณ์ตามมาตรา 3 อัฏฐ แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539 มาตรา 40 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “คำสั่งทางปกครองที่อาจอุทธรณ์หรือโต้แย้งต่อไปได้ให้ระบุกรณีที่อาจอุทธรณ์หรือโต้แย้ง การยื่นอุทธรณ์หรือคำโต้แย้ง และระยะเวลาสำหรับการอุทธรณ์หรือการโต้แย้งดังกล่าวไว้ด้วย” เมื่อพิจารณาคำวินิจฉัยอุทธรณ์ตอนท้ายมีหมายเหตุระบุว่า หากท่านประสงค์จะฟ้องโต้แย้งคำวินิจฉัยนี้ให้ทำคำฟ้องเป็นหนังสือยื่นต่อศาลปกครอง… ภายใน 90 วัน นับแต่วันที่รับแจ้งหรือทราบคำวินิจฉัย ดังนั้น เมื่อโจทก์ได้รับคำวินิจฉัยของจำเลยที่ยืนตามคำสั่งที่ไม่อนุมัติให้โจทก์ขยายกำหนดเวลาการอุทธรณ์การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินฉบับลงวันที่ 18 พฤศจิกายน 2552 ซึ่งโจทก์ได้รับหนังสือดังกล่าวในวันที่ 2 ธันวาคม 2552 การที่โจทก์ฟ้องจำเลยในวันที่ 2 มีนาคม 2553 จึงเป็นการยื่นฟ้องภายในกำหนดเวลาตามคำวินิจฉัยอุทธรณ์ที่กล่าวมาข้างต้น ดังนั้น ที่ศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องโจทก์มานั้นจึงไม่ชอบ ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้รับคำฟ้องของโจทก์ไว้พิจารณาพิพากษาต่อไป สำหรับค่าฤชาธรรมเนียมในศาลภาษีอากรกลางและชั้นอุทธรณ์ให้รวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษา

Share