แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้ตามสัญญาและต่อท้ายสัญญา จะระบุยอมให้โจทก์ขึ้นหรือปรับปรุงอัตราดอกเบี้ยใหม่ได้ตามความ เหมาะสมโดยไม่เกินกว่าที่กฎหมายอนุญาตให้คิดได้ โดยไม่ต้องแจ้งให้จำเลยทราบ ก็เป็นเรื่องที่จำเลยยอมให้โจทก์ปรับขึ้นดอกเบี้ยในกรณีปกติจากอัตราดอกเบี้ยที่โจทก์คิดจากจำเลยในวันทำสัญญา คืออัตราดอกเบี้ย MRR เท่ากับ 13.5 ต่อปี หาได้มีข้อตกลงให้โจทก์ขึ้นดอกเบี้ยในอัตราใหม่ไม่เกินกว่าที่กฎหมายอนุญาตในกรณีที่จำเลยผิดนัด หรือผิดเงื่อนไขแต่อย่างใดไม่ แม้ตามประกาศของโจทก์เรื่องอัตราดอกเบี้ยและส่วนลดเงินให้สินเชื่อซึ่งออก โดยอาศัยอำนาจตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติในเรื่องดอกเบี้ยและส่วนลด จะระบุให้คิดอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อที่ผิดเงื่อนไขตามสัญญาไม่เกินร้อยละ 19 ต่อปี ก็เป็นเรื่องให้สิทธิโจทก์ที่จะปรับอัตราดอกเบี้ยให้สูงขึ้นกว่าอัตราดอกเบี้ยที่คิดตามปกติเท่านั้น ส่วนโจทก์จะมีอำนาจปรับได้หรือไม่ ต้องพิจารณาจากสัญญากู้เงินว่ามีข้อตกลงยินยอมให้ปรับได้หรือไม่ก่อน ทั้งการปรับอัตราดอกเบี้ยในกรณีดังกล่าวเป็นการให้สิทธิพิเศษแก่โจทก์ โดยที่จำเลยไม่อาจโต้แย้งได้ จึงต้องตีความข้อตกลงในสัญญาโดยเคร่งครัด โจทก์เองก็ยอมรับว่าในสัญญากู้เงินไม่ได้เขียนข้อตกลงนี้ไว้อย่างชัดแจ้งว่าหากจำเลยผิดนัดไม่ชำระหนี้ตามกำหนดหรือผิดเงื่อนไขจำเลยยอมชำระดอกเบี้ยร้อยละ 19 ต่อปี ดังนั้น โจทก์จึงไม่อาจปรับอัตราดอกเบี้ยเป็นร้อยละ 19 ต่อปี นับแต่วันที่จำเลยผิดนัดได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 4,589,746.29 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี ของต้นเงิน 3,500,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์หากไม่ชำระหรือ ชำระไม่ครบถ้วนให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 92230 พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ หากได้เงินสุทธิไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้โจทก์จนครบ
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้จำนวน 3,646,136.98 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15.75 ต่อปี ของต้นเงิน 3,500,000 บาท นับตั้งแต่วันที่ 20 กรกฎาคม 2540 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยไม่ชำระ หรือชำระไม่ครบถ้วนให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 92230 พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์ หากได้เงินสุทธิไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้โจทก์จนครบ
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้น ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2537 จำเลยทำสัญญากู้เงินโจทก์จำนวน 3,500,000 บาท ยอมเสียดอกเบี้ยเป็นรายเดือนแบบอัตราลอยตัวหรือ MRR + 1 เท่ากับร้อยละ 14.5 ต่อปี และให้ผู้ให้กู้มีสิทธิขึ้นหรือปรับปรุงอัตราดอกเบี้ยใหม่ตามความเหมาะสม ไม่เกินกว่าที่กฎหมายอนุญาตให้คิดได้ โดยไม่ต้องแจ้งให้ผู้กู้ทราบ กำหนดชำระเงินคืนภายในวันที่ 29 กันยายน 2538 และจำเลยได้จดทะเบียนจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 92230 พร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นประกันในวงเงิน 3,500,000 บาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 18 ต่อปี หรืออัตราสูงสุดตามที่โจทก์กำหนด ต่อมาจำเลยได้ขอต่ออายุสัญญากู้เงินออกไปจนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2539 หลังจากทำสัญญาจำเลยชำระดอกเบี้ยให้โจทก์บางส่วนอันเป็นการผิดเงื่อนไขตามสัญญาครั้งสุดท้ายชำระเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2539 จำนวน 170,020.55 บาท หลังจากนั้นจำเลยไม่ชำระอีก
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากจำเลยในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 22 ธันวาคม 2538 หรือไม่ เห็นว่า แม้ตามสัญญาและต่อท้ายสัญญาจะระบุยอมให้โจทก์ขึ้นหรือปรับปรุงอัตราดอกเบี้ยใหม่ได้ตามความเหมาะสมโดยไม่เกินกว่าที่กฎหมายอนุญาตให้คิดได้ โดยไม่ต้องแจ้งให้จำเลยทราบ ก็เป็นเรื่องที่จำเลยยอมให้โจทก์ปรับขึ้นดอกเบี้ยในกรณีปกติจากอัตราดอกเบี้ยที่โจทก์คิดจากจำเลยในวันทำสัญญา คืออัตราดอกเบี้ย MRR เท่ากับ 13.5 ต่อปี หาได้มีข้อตกลงให้โจทก์ขึ้นดอกเบี้ยในอัตราใหม่ไม่เกินกว่าที่กฎหมายอนุญาต ในกรณีที่จำเลยผิดนัดหรือผิดเงื่อนไขแต่อย่างใดไม่ แม้ตามประกาศของโจทก์เรื่องอัตราดอกเบี้ยและส่วนลดเงิน ให้สินเชื่อฉบับลงวันที่ 13 กรกฎาคม 2538 ซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติในเรื่องดอกเบี้ยและส่วนลดจะระบุให้คิดอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อที่ผิดเงื่อนไขตามสัญญาไม่เกินร้อยละ 19 ต่อปี ก็เป็นเรื่องให้สิทธิโจทก์ที่จะปรับอัตราดอกเบี้ยให้สูงขึ้นกว่าอัตราดอกเบี้ยที่คิดตามปกติเท่านั้น ส่วนโจทก์จะมีอำนาจปรับได้หรือไม่ต้องพิจารณาจากสัญญากู้เงินว่ามีข้อตกลงยินยอมให้ปรับได้หรือไม่ก่อน ทั้งการปรับอัตราดอกเบี้ยในกรณีดังกล่าวเป็นการให้สิทธิพิเศษแก่โจทก์ โดยที่จำเลยไม่อาจโต้แย้งได้ จึงต้องตีความข้อตกลงในสัญญาโดยเคร่งครัด โจทก์เองก็ยอมรับว่าในสัญญากู้เงินไม่ได้เขียนข้อตกลงนี้ไว้อย่างชัดแจ้งว่าหากจำเลยผิดนัดไม่ชำระหนี้ตามกำหนดหรือผิดเงื่อนไข จำเลยยอมชำระดอกเบี้ยร้อยละ 19 ต่อปี ดังนั้น โจทก์จึงไม่อาจปรับอัตราดอกเบี้ยเป็นร้อยละ 19 ต่อปี นับแต่วันที่ 22 ธันวาคม 2538 ได้
ส่วนที่โจทก์อุทธรณ์ว่า ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้คิดดอกเบี้ยจากจำเลยนับแต่วันที่ 20 กรกฎาคม 2540 เป็นการไม่ชอบนั้น เห็นว่า ศาลชั้นต้นวินิจฉัยโดยรับฟังข้อเท็จจริงว่าเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2539 จำเลยชำระเงินจำนวน 171,020.55 บาท ให้แก่โจทก์ ซึ่งต้องนำไปหักดอกเบี้ยก่อน และเมื่อคิดดอกเบี้ยนับแต่วันที่ 22 ธันวาคม 2538 ซึ่งเป็นวันที่จำเลยชำระหนี้ครั้งสุดท้ายถึงวันที่ 19 กรกฎาคม 2539 ดอกเบี้ยเป็นเงิน 317,157.53 จำเลยจึงยังคงค้าง ดอกเบี้ย 146,136.98 บาท ต้นเงินจำนวน 3,500,000 บาท รวมเป็นเงิน 3,646,136.98 บาท ศาลชั้นต้นจึงชอบ ที่จะพิพากษาให้จำเลยชำระดอกเบี้ยให้แก่โจทก์นับแต่วันที่ 20 กรกฎาคม 2539 เป็นต้นไป ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ คิดดอกเบี้ยจากจำเลยนับแต่วันที่ 20 กรกฎาคม 2540 เป็นต้นไปจึงไม่ถูกต้อง เพราะเท่ากับจำเลยมิได้ชำระดอกเบี้ย ให้โจทก์ในระหว่างวันที่ 20 กรกฎาคม 2539 ถึงวันที่ 19 กรกฎาคม 2540
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 3,646,136.98 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15.75 ต่อปี ของต้นเงิน 3,500,000 บาท นับแต่วันที่ 20 กรกฎาคม 2539 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไป ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น.