แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
เหตุเกิดเวลากลางวัน ก่อนเกิดเหตุ เด็กชาย ส. อายุ13 ปีพบกับจำเลยกับพวก จำเลยถาม หาไร่ของผู้ตายและให้เด็กชาย ส.ไปตามผู้ตายมาพบ เมื่อผู้ตายกับโจทก์ร่วมมาพบจำเลยได้พูดคุยกันนานประมาณ 10 นาที จำเลยจึงใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย การที่คนร้ายนั่งพูดคุยกับผู้ตายนานถึง 10 นาที จึงใช้อาวุธปืนยิงนั้น ไม่ใช่เป็นข้อพิรุธ เพราะคนร้ายจะยิงผู้ตายเมื่อไรก็เป็นการเลือกหาโอกาสของคนร้ายเอง มิใช่ว่าเมื่อคนร้ายพบผู้ตายที่คนร้ายประสงค์จะฆ่าแล้วจะต้องลงมือฆ่าในทันที พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักมั่นคงจึงฟังได้ว่าจำเลยเป็นคนร้ายที่ยิงผู้ตาย.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 83และริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณานางสมพงษ์ น้อยจันทร์ ภริยานายพินิตย์น้อยจันทร์ ผู้ตายร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 จำคุก 20 ปี ริบของกลาง
โจทก์ร่วมและจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง มีคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายจนถึงแก่ความตายปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยมีว่าจำเลยได้กระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ โจทก์ร่วมได้เบิกความยืนยันว่าจำเลยเป็นคนร้ายที่ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย จำเลยมากับชายคนหนึ่งและเด็กชายสรพงษ์ บุญเกิด เป็นคนมาตามผู้ตายกับโจทก์ไปพบจำเลยหลังเกิดเหตุได้นำชี้ที่เกิดเหตุให้พนักงานสอบสวนดูและได้ให้การว่าจำคนร้ายได้เด็กชายสรพงษ์ บุญเกิด พยานโจทก์ก็เบิกความว่า ขณะขี่รถจักรยานสองล้อจะไปที่ร้านขายยา พบชายสองคนขับรถจักรยานยนต์สวนทางมาโดยจำเลยเป็นคนนั่งซ้อนท้าย จำเลยถามพยานว่าใช่ไร่ของผู้ตายหรือไม่ เมื่อพยานว่าใช่จำเลยก็ขอให้ไปตามผู้ตายมาพบ พยานได้ตามผู้ตายมาพบจำเลย หลังจากนั้นขณะที่รัถจักรยานสองล้อจะเข้าร้านขายยาก็ได้ยินเสียงปืนดังมาจากทางไร่ผู้ตาย เมื่อขี่รถจักรยานสองล้อกลับมาเห็นผู้ตายถูกยิงอยู่ที่ไร และทั้งโจทก์ร่วมและเด็กชายสรพงษ์ก็เบิกความว่า ในชั้นสอบสวนได้ชี้ตัวจำเลยต่อพนักงานสอบสวนยืนยันว่าจำเลยเป็นคนร้าย พันตำรวจโทโปร่ง สนองลักษณ์พนักงานสอบสวนก็เบิกความว่า ในวันเกิดเหตุได้ไปตรวจสถานที่เกิดเหตุโจทก์ร่วมได้นำชี้ที่เกิดเหตุ ทั้งบอกว่าคนร้ายมีสองคน และจำคนร้ายได้ เมื่อจับจำเลยได้ ทั้งโจทก์ร่วมและเด็กชายสรพงษ์ได้ชี้ยืนยันว่าจำเลยเป็นคนร้าย พยานโจทก์ดังกล่าวเบิกความได้สอดคล้องต้องกันเหตุเกิดเวลากลางวัน ทั้งโจทก์ร่วมกับเด็กชายสรพงษ์ได้พบและพูดจากับคนร้ายด้วย เด็กชายสรพงษ์มีอายุ 13 ปี ความจำของเด็กชายสรพงษ์ในการจดจำเหตุการณ์ย่อมมีมากพอจะจำได้ดีแล้ว ก่อนชี้ตัวจำเลยนั้นเด็กชายสรพงษ์ก็ไม่ได้ถูกชักจูงให้ชี้ตัวจำเลยหรือได้เห็นรูปถ่ายของจำเลยมาก่อน จำเลยกับโจทก์ร่วมและเด็กชายสรพงษ์ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ย่อมไม่มีเหตุที่จะระแวงสงสัยว่าจะเบิกความปรักปรำจำเลย ที่โจทก์ร่วมเบิกความว่าก่อนเกิดเหตุจำเลยกับพวกมาพบผู้ตายแล้ว การที่คนร้ายสอบถามเด็กชายสรพงษ์ถึงไร่ผู้ตายและให้เด็กชายสรพงษ์ไปตามผู้ตายมานั้นแสดงว่าคนร้ายไม่รู้จักไร่ผู้ตายและผู้ตายนั้น เห็นว่าการสอบถามดังกล่าวอาจเป็นการสอบถามเพื่อจะทราบว่าเด็กชายสรพงษ์รู้จักผู้ตายหรือไม่ และจะได้ใช้ให้ไปตามมาพบก็ได้ ทั้งการที่คนร้ายนั่งพูดคุยกับผู้ตายนานถึง 10 นาทีจึงใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย ก็ไม่ใช่เป็นข้อพิรุธเพราะคนร้ายจะยิงผู้ตายเมื่อไรก็เป็นการเลือกหาโอกาสของคนร้ายเอง มิใช่ว่าเมื่อคนร้ายพบผู้ตายที่คนร้ายประสงค์จะฆ่าแล้วจะต้องลงมือฆ่าในทันทีพยานของจำเลยที่นำสืบอ้างฐานที่อยู่ไม่มีน้ำหนักเพียงพอจะหักล้างพยานโจทก์ได้ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.