คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9105/2539

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยทั้งสองให้การเพียงว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะการที่โจทก์ให้กู้ยืมเงินต้องได้รับความยินยอมจากคู่สมรสเสียก่อน การที่สามีโจทก์ไม่ได้ให้ความยินยอมนิติกรรมดังกล่าวจึงไม่สมบูรณ์ โดยมิได้ให้การต่อสู้ว่าเงินที่โจทก์ให้กู้ยืมไปเป็นสินสมรสที่โจทก์กับสามีจะต้องจัดการร่วมกันตามกฎหมายจึงไม่มีประเด็นโต้เถียงว่าเงินดังกล่าวเป็นสินสมรสหรือไม่โจทก์ยอมให้จำเลยทั้งสองกู้ยืมเงินได้โดยไม่จำต้องได้รับความยินยอมจากสามีก่อน จำเลยทั้งสองให้การไว้เพียงลอย ๆ ว่า ช. ทนายโจทก์ไม่มีอำนาจทวงถามจำเลยทั้งสอง แต่ไม่ได้อ้างเหตุว่าเพราะเหตุใด จึงไม่มีเหตุแห่งการปฏิเสธ ไม่มีประเด็นที่ต้อง วินิจฉัย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันกู้เงินโจทก์ไปจำนวน 1,000,000 บาท ตกลงดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีและกำหนดชำระเงินคืนภายใน 2 ปี โดยได้นำที่ดินโฉนดเลขที่ 3210มาจำนองเป็นประกัน และเฉพาะจำเลยที่ 2 ได้ยืมเงินโจทก์อีกจำนวน 2,000,000 บาท ตกลงดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี กำหนดชำระเงินคืนภายใน 2 ปี โดยนำที่ดินโฉนดเลขที่ 3052 และ3209 มาจำนองเป็นประกัน เมื่อครบกำหนดแล้วจำเลยทั้งสองไม่ชำระหนี้ โจทก์ทวงถามแล้วจำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 1,279,109 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากต้นเงิน 1,000,000 บาทนับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ กับให้จำเลยที่ 2ชำระเงินจำนวน 2,558,219 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากต้นเงิน 2,000,000 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จด้วย หากจำเลยทั้งสองไม่ชำระให้ยึดที่ดินจำเลยทั้ง 3 แปลง ขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้ให้โจทก์จนครบ
จำเลยทั้งสองให้การทำนองเดียวกันว่า ได้ยืมเงินและนำที่ดินมาจดทะเบียนจำนองเป็นประกันไว้แก่โจทก์ตามฟ้องจริง แต่โจทก์คิดดอกเบี้ยจากจำเลยทั้งสองในอัตราร้อยละ 2 ต่อเดือนเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด จำเลยทั้งสองชำระค่าดอกเบี้ยให้โจทก์ไปแล้วจำนวนเกือบ 500,000 บาท ดอกเบี้ยตามฟ้องซึ่งเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด จึงตกเป็นโมฆะทั้งหมด โจทก์ไม่มีสิทธิได้รับดอกเบี้ยตามฟ้องแต่อย่างใด ทั้งนายชาญ เมธางกูร ไม่มีอำนาจทวงถามจำเลยทั้งสองและการให้กู้ยืมเงินของโจทก์ดังกล่าวนั้นสามีโจทก์ก็มิได้ให้ความยินยอมนิติกรรมจึงไม่สมบูรณ์ใช้บังคับไม่ได้ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน1,000,000 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ 28 พฤศจิกายน 2535 จนกว่าจะชำระเสร็จและให้จำเลยที่ 2 ชำระเงินจำนวน 2,000,000 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่28 พฤศจิกายน 2535 จนกว่าจะชำระเสร็จ หากจำเลยไม่ชำระหรือชำระไม่ครบถ้วนในหนี้ยอดใด ให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 3210 หรือโฉนดเลขที่ 3052 และ 3209 ตำบลศรีษะทอง อำเภอนครชัยศรีจังหวัดนครปฐม ที่จำนองเป็นประกันหนี้ในยอดนั้นตามลำดับออกขายทอดตลาด นำเงินมาชำระหนี้ให้โจทก์
โจทก์และจำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
โจทก์และจำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองในข้อต่อไปมีว่า โจทก์ให้จำเลยทั้งสองกู้ยืมเงินโดยสามีไม่ได้ให้ความยินยอม นิติกรรมดังกล่าวไม่สมบูรณ์และโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ เห็นว่า กฎหมายมิได้บัญญัติว่าถ้าหญิงมีสามีทำนิติกรรมจะต้องได้รับความยินยอมจากสามีเสียก่อนทุกกรณี คู่สมรสฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดทำนิติกรรมต้องได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่งก็เฉพาะการจัดการสินสมรสตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 1476 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์จำเลยให้การไว้แต่เพียงว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเนื่องด้วยนิติกรรมการให้กู้ยืมเงินโจทก์จะต้องได้รับความยินยอมจากคู่สมรสเสียก่อน การที่สามีโจทก์ไม่ได้ให้ความยินยอมนิติกรรมดังกล่าวจึงไม่สมบูรณ์บังคับไม่ได้ตามกฎหมาย แต่จำเลยทั้งสองมิได้ให้การต่อสู้ว่า เงินที่โจทก์ให้จำเลยกู้ยืมไปเป็นสินสมรสที่โจทก์กับสามีจะต้องจัดการร่วมกันตามบทกฎหมายดังกล่าว จึงไม่มีประเด็นโต้เถียงว่าเงินที่โจทก์ให้จำเลยทั้งสองกู้ยืมนั้นเป็นสินสมรสหรือไม่ โจทก์ย่อมให้จำเลยทั้งสองกู้ยืมเงินได้โดยไม่จำต้องได้รับความยินยอมจากสามีก่อน ฎีกาข้อนี้ของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น
ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองในข้อสุดท้ายมีว่า นายชาญ เมธางกูร ทนายโจทก์มีอำนาจทวงถามให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้หรือไม่ เห็นว่าในข้อนี้จำเลยทั้งสองให้การไว้แต่เพียงลอย ๆ ว่า นายชาญไม่มีอำนาจที่จะทวงถามจำเลยทั้งสอง แต่ไม่ได้อ้างเหตุว่าเพราะเหตุใดนายชาญจึงไม่มีอำนาจทวงถาม คำให้การดังกล่าวจึงไม่มีเหตุแห่งการปฏิเสธ ตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 177 วรรคสอง จึงไม่มีประเด็นที่ต้องวินิจฉัย ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ ฎีกาข้อนี้ของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้นเช่นกัน”
พิพากษายืน

Share