แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ฟ้องที่กล่าวเพียงว่า ‘สินค้าอื่นๆ ซึ่งโจทก์จะได้เสนอหลักฐานต่อศาลในวันพิจารณาขาดไปคิดเป็นเงิน 57,266.58 บาท’ เป็นฟ้องที่มิได้แสดงให้แจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและขาดข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเป็นฟ้องที่ไม่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 172 วรรค 2 โจทก์ฟ้องจำเลยซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันคนที่ทำละเมิดต่อโจทก์เพื่อเรียกค่าเสียหายในการละเมิดนั้นเมื่อเกิน 1 ปี นับแต่วันที่โจทก์รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนคดีโจทก์ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 จำเลยซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันยกข้อต่อสู้เรื่องอายุความของผู้ที่ทำละเมิดต่อโจทก์ขึ้นต่อสู้ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 694
อายุความเรียกค่าเสียหายในการละเมิดมี 1 ปี เมื่อจำเลยทำหนังสือรับสภาพหนี้จากการละเมิดอายุความก็สะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 172 ต้องเริ่มนับอายุความขึ้นใหม่ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 181 วรรค 2 อายุความที่เริ่มนับใหม่ก็คือ 1 ปีเช่นเดิม ไม่ใช่ 10 ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 164
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ค้ำประกันการปฏิบัติหน้าที่ของนายสุพจน์ชัยประเสริฐ ผู้จัดการร้านค้าของโจทก์ นายสุพจน์ได้ทำเงินสดขาดบัญชีไป 57,822.69 บาท จำเลยได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้จำนวนนี้ให้โจทก์ไว้ และนายสุพจน์ได้ทำให้สินค้าอื่น ๆ ซึ่งโจทก์จะได้เสนอหลักฐานต่อศาลในวันพิจารณาขาดไปคิดเป็นเงิน 57,266.58 บาทโจทก์ไม่อาจเรียกให้นายสุพจน์ชำระหนี้ได้ โจทก์จึงเรียกให้จำเลยชำระทั้งหมด
จำเลยให้การว่า ได้ทำสัญญาค้ำประกันนายสุพจน์จริง แต่จำเลยไม่ต้องรับผิดฟ้องโจทก์เคลือบคลุม และขาดอายุความศาลชั้นต้นงดสืบพยานโจทก์ แล้ววินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์ในเรื่องนายสุพจน์ทำสินค้าขาดจำนวนนั้น โจทก์ไม่บรรยายว่าสินค้าที่ขาดหายไปมีอะไรบ้าง จำนวนและราคาเท่าใด จึงเป็นฟ้องเคลือบคลุมและหนี้เกิดจากมูลละเมิดจำเลยมาฟ้องเกิน 1 ปี คดีขาดอายุความ พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า มูลหนี้ตามฟ้องโจทก์ทุกรายการเกิดจากการที่นายสุพจน์ทำละเมิดต่อโจทก์ โจทก์ไม่ฟ้องภายใน 1 ปีคดีขาดอายุความแล้ว พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์กล่าวเพียงว่า “สินค้าอื่น ๆ ซึ่งโจทก์จะได้เสนอหลักฐานต่อศาลในวันพิจารณาขาดไปคิดเป็นเงิน 57,266.58 บาท” นั้น โจทก์มิได้แสดงรายการละเอียดว่าสินค้าที่ขาดบัญชีไปมีอะไรบ้าง อย่างไหนจำนวนและราคาเท่าไร อันเป็นสารสำคัญซึ่งพอจะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี คำฟ้องของโจทก์จึงเป็นฟ้องที่มิได้แสดงให้แจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหา และขาดข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา จึงเป็นฟ้องที่ไม่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรค 2 โจทก์จะอ้างว่าเป็นเรื่องที่โจทก์จะนำสืบรายละเอียดในชั้นพิจารณาหาได้ไม่
โจทก์ฟ้องจำเลยก็โดยผลที่นายสุพจน์ทำละเมิดต่อโจทก์ การเรียกค่าเสียหายอันเกิดจากมูลละเมิดนั้น ผู้เสียหายจะต้องเรียกร้องภายใน 1 ปี โจทก์นำคดีมาฟ้องจำเลยเมื่อพ้น 1 ปีแล้ว คดีจึงขาดอายุความ จำเลยซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันยกข้อต่อสู้เรื่องอายุความซึ่งนายสุพจน์มีต่อโจทก์ขึ้นต่อสู้ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 694
ที่โจทก์ฎีกาว่า โจทก์ฟ้องเรียกเงินจากจำเลยตามหนังสือที่จำเลยทำไว้ให้โจทก์ลงวันที่ 7 ตุลาคม 2501 ซึ่งเป็นหนังสือรับสภาพหนี้ในสินค้าที่ขาดไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 172 ต้องใช้อายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า หากจะถือว่าหนังสือฉบับนี้เป็นหนังสือรับสภาพหนี้ การรับสภาพหนี้ก็ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 172 เมื่อเริ่มนับอายุความขึ้นใหม่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 181 วรรค 2 ก็ต้องถืออายุความเดิม เป็นแต่ตั้งต้นนับใหม่ เพราะมาตรา 181 วรรค 2 ใช้คำว่า”ให้เริ่มนับอายุความขึ้นใหม่” ก็คือ เริ่มนับอายุความเดิม 1 ปีนั่นเอง ฉะนั้น เมื่อเริ่มนับอายุความขึ้นใหม่จากวันที่ลงในหนังสือ คือ วันที่ 7 ตุลาคม 2501 จนถึงวันฟ้อง คือ วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2506 ก็เกินกำหนด 1 ปี ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความเช่นกัน
พิพากษายืน ให้ยกฎีกาโจทก์เสีย