แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยทั้งสามกับพวกผู้เสียหายทะเลาะกันในร้านอาหาร ต่างลุกขึ้นทำท่าจะทำร้ายกัน แล้วจำเลยที่ 2 ชักปืนออกจากเอวยิงไปทางโต๊ะของผู้เสียหายเพียง 1 นัด โดยมิได้ยิงซ้ำทั้งที่มีกระสุนบรรจุอยู่อีก 5 นัด และพอผู้เสียหายกับพวกพากันวิ่งหนีขึ้นชั้นลอย จำเลยที่ 2ก็มิได้ไล่ตามไป ยิงนัดแรกแล้วก็ตามพวกออกจากร้านทันที สาเหตุที่ทะเลาะกันก็ไม่ร้ายแรงถึงกับต้องฆ่ากัน จำเลยที่ 2 น่าจะกระทำเพื่อต้องการข่มอีกฝ่ายหนึ่งเท่านั้นโดยไม่ประสงค์ต่อผลที่จะฆ่าอีกฝ่ายหนึ่ง แต่การที่จำเลยที่ 2 ใช้ปืนซึ่งเป็นอาวุธร้ายแรงยิงไปทางกลุ่มผู้เสียหายซึ่งมีประมาณ 10 คน โดยไม่ใยดีว่ากระสุนปืนจะถูกผู้ใดหรือไม่ แม้จะเป็นการยิงเพียงนัดเดียวก็อาจถูกผู้อื่นถึงแก่ความตายได้ ดังจะเห็นได้จากการยิงในครั้งนี้ทำให้กระสุนปืนถูกแขนขวาของผู้เสียหาย จึงเป็นการกระทำที่ย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น เป็นการกระทำโดยเจตนาฆ่าตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 59 วรรคสอง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสามได้ร่วมกันมีไว้ในครอบครองซึ่งลูกระเบิดขว้างชนิดสังหารและอาวุธปืนออโตเมติก ขนาด .45จำนวน 1 กระบอก กับกระสุนปืนขนาด .45 จำนวน 26 นัด โดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียน แล้วจำเลยทั้งสามได้ร่วมกันพาวัตถุระเบิดและอาวุธปืนพร้อมด้วยเครื่องกระสุนปืนดังกล่าวติดตัวไปซอยสิงหเสนีย์ ถนนสุขาภิบาล 1 ซึ่งเป็นทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควรและไม่ได้รับอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัว นอกจากนั้นจำเลยที่ 2 ยังมีอาวุธปืนพกรีวอลเวอร์ ขนาด .22 แม็กนั่ม ทะเบียน กท.788747ของผู้อื่นซึ่งได้รับอนุญาตให้มีและใช้ และมีกระสุนปืน ขนาด .22แม็กนั่ม 6 นัด ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตและได้พาอาวุธปืนพร้อมด้วยกระสุนปืนดังกล่าวติดตัวไปในซอยสิงหเสนีย์ ถนนสุขาภิบาล 1 เข้าไปในร้านอาหารสหมิตร ชุมนุมชนที่ได้จัดให้มีขึ้นเพื่อการรื่นเริง โดยไม่มีเหตุสมควรและไม่ได้รับใบอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัว จากนั้นจำเลยที่ 2 ใช้อาวุธปืนดังกล่าวยิงนายณัฐพล ฤทธิ์งาม นายสมหมาย ทิมแดง และนายสุทิน ภาระพันธ์กับนักร้องหญิง 3 คน ที่นั่งอยู่โต๊ะเดียวกัน 1 นัด โดยเจตนาฆ่านายณัฐพลกับพวก แต่ไม่บรรลุผลเพราะกระสุนปืนถูกนายณัฐพลที่ข้อมือขวาและหลบหนีได้ทัน จึงไม่ถึงแก่ความตายเพียงแต่นายณัฐพลได้รับอันตรายสาหัส ป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาเกินกว่ายี่สิบวันหรือประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่ายี่สิบวัน ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา 288, 80, 83, 371, 32 พระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืนพ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 55, 72, 72 ทวิ, 78 ริบของกลาง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 300 และมาตรา 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนวัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7,8 ทวิ วรรคหนึ่ง 72 วรรคสาม, 72 ทวิ วรรคสอง ความผิดฐานประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัสและเรื่องอาวุธปืน เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91ความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัสจำคุก 2 ปี และปรับ 6,000 บาท ฐานมีอาวุธปืน จำคุก 8 เดือนปรับ 4,000 บาท ฐานพาอาวุธปืนติดตัวเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 6 เดือน ปรับ 2,000 บาทรวมเป็นโทษจำคุก 3 ปี 2 เดือน และปรับ 12,000 บาท จำเลยที่ 2ยังเป็นนักศึกษาอยู่ในสถาบันการศึกษาชั้นอุดมศึกษาระดับปริญญาตรีให้รอการลงโทษจำคุกไว้มีกำหนด 3 ปี โดยให้จำเลยที่ 2 รายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติทุก 3 เดือนต่อครั้ง ภายใน 1 ปี ริบอาวุธปืนพกออโตเมติก ขนาด .45 กระสุนปืนขนาด .45 ทั้งหมด และลูกระเบิดขว้างชนิดสังหารของกลาง ส่วนอาวุธปืนพกรีวอลเวอร์ กท.788747และของกลางอื่นคืนเจ้าของ ข้อหาอื่นให้ยก และยกฟ้องจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 3 โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 2มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบด้วยมาตรา 80ให้จำคุก 10 ปี จำเลยที่ 2 อายุยังน้อย ยังศึกษาเล่าเรียนอยู่ไม่เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อนในชั้นจับกุมก็รับสารภาพ สมควรลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงจำคุก 5 ปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2531 เวลาประมาณ 2 นาฬิกา ขณะที่นายณัฐพล ฤทธิ์งาม ผู้เสียหาย นายสมหมาย ทิมแดง และนายสุทิน ภาระพันธ์ กับพวกอีกหลายคนนั่งดื่มสุราและรับประทานอาหารในร้านสหมิตรคาเฟ่ ใกล้กับโต๊ะของจำเลยทั้งสาม นักร้องหญิงที่นั่งโต๊ะของผู้เสียหายทำแก้วแตก พวกจำเลยทั้งสามจึงได้พูดกระเซ้านักร้องหญิง เป็นเหตุให้เกิดการทะเลาะกันระหว่างจำเลยทั้งสามกับพวกของผู้เสียหายถึงขั้นจะเข้าทำร้ายกัน จำเลยที่ 2 ชักปืนออกมาแล้วปืนของจำเลยที่ 2 ได้ลั่นขึ้น 1 นัด กระสุนปืนถูกข้อมือขวาของผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บเป็นอันตรายสาหัส ผู้เสียหายกับพวกวิ่งขึ้นไปหลบที่ชั้นลอย จำเลยทั้งสามพากันออกจากร้านไปขึ้นรถยนต์ของจำเลยที่ 1 แล้วถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับที่รถยนต์ขณะจอดอยู่ที่หน้าร้านนั้นเอง พร้อมกับยึดอาวุธปืนพกขนาด .22 แม็กนั่มกระสุนปืนและซองพกปืนจากจำเลยที่ 2 ยึดอาวุธปืนพกขนาด .45กระสุนปืน 26 นัด ซองพกกับลูกระเบิดมืออยู่ภายในกระเป๋าสะพายในรถยนต์ของจำเลยที่ 1 เป็นของกลาง ปัญหามีว่า เหตุเกิดเพราะจำเลยที่ 2 กระทำโดยเจตนาหรือประมาท โดยจำเลยที่ 2 ฎีกาว่าจำเลยที่ 2 เห็นด้วยกับข้อพิเคราะห์ของศาลชั้นต้นว่าเหตุเกิดเพราะจำเลยที่ 2 ชักปืนออกมาเพื่อขู่มิให้พวกผู้เสียหายทำร้ายจำเลยทั้งสาม แต่ด้วยความรีบร้อนตกใจอาจทำให้จำเลยที่ 2 กำปืนแน่นจนบีบไกปืนเข้าไปด้วยทำให้ปืนลั่นขึ้น เป็นการกระทำโดยประมาทนั้นศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์มีนายสมหมายกับนายสุทินเป็นประจักษ์พยานเบิกความว่า พอทั้งสองฝ่ายเกิดโต้เถียงกันแล้วต่างลุกขึ้นทำท่าจะทำร้ายกัน จำเลยที่ 2 ได้ชักปืนออกจากเอวจ้องในระดับอกมาทางพวกผู้เสียหายแล้วปืนได้ลั่นขึ้น 1 นัด ต่อมาจึงเห็นผู้เสียหายถูกยิงที่แขนขวาใกล้ข้อศอกได้รับบาดเจ็บ เหตุที่เกิดเพราะฝ่ายจำเลยไม่พอใจที่เรียกนักร้องหญิงที่โต๊ะผู้เสียหายไปนั่งด้วย แต่นักร้องหญิงไม่ยอมไปเพราะหมดเวลางานเลยเกิดโต้เถียงกัน จำเลยที่ 3พูดว่าเอาแม่มันเลย แล้วต่างลุกขึ้นทำท่าจะทำร้ายกันดังกล่าวจึงเป็นเรื่องที่ฝ่ายจำเลยก่อขึ้นก่อน โดยก่อนหน้านี้จำเลยที่ 2ก็ทำท่าจะชักปืนออกมาอยู่แล้ว แต่ถูกจำเลยที่ 1 ห้ามไว้ไม่มีพฤติการณ์ที่ทำให้จำเลยที่ 2 ต้องชักปืนออกมาอย่างฉุกละหุกตื่นตกใจจนทำให้ต้องกำปืนแน่นจนต้องบีบไกปืนเข้าไปด้วยเป็นเหตุให้ปืนลั่นโดยไม่ตั้งใจ ทั้งจำเลยที่ 2 เองก็นำสืบว่าเหตุที่ปืนลั่นเพราะขณะที่จำเลยที่ 2 ถือปืนส่ายไปมา จำเลยที่ 2 ถูกตีทางด้านหลังจึงทำให้ปืนลั่นขึ้น หาใช่เพราะกำปืนและไกปืนแน่นไปด้วยความตื่นตกใจ เลยทำให้ปืนลั่นดังที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยไม่ ส่วนที่จำเลยที่ 2 เบิกความว่า ปืนลั่นเพราะจำเลยที่ 2 ถูกตีทางด้านหลังขัดแย้งกับบันทึกคำให้การในชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 2 ตามเอกสารหมาย จ.20ซึ่งจำเลยที่ 2 ให้การว่าขณะจำเลยที่ 2 ลุกขึ้น ปืนที่เอวได้หล่นลงที่พื้นทำให้ปืนลั่นขึ้น ทั้งจำเลยที่ 1 กับที่ 3 ก็มิได้เบิกความสนับสนุนว่าเหตุที่ปืนลั่นเพราะมีคนตีหลังของจำเลยที่ 2 คดีจึงฟังไม่ได้ว่าปืนลั่นเพราะความประมาท แต่ลั่นเพราะจำเลยที่ 2ตั้งใจเหนี่ยวไกยิงเป็นการกระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ การที่ทั้งสองฝ่ายทะเลาะกันแล้วต่างลุกขึ้นทำท่าจะทำร้ายกัน แล้วจำเลยที่ 2 ชักปืนออกจากเอวยิงไปทางโต๊ะของฝ่ายผู้เสียหายเพียง 1 นัดโดยมิได้ยิงซ้ำทั้งที่มีกระสุนบรรจุอยู่อีก 5 นัด และพอผู้เสียหายกับพวกพากันวิ่งหนีขึ้นชั้นลอย จำเลยที่ 2 ก็มิได้ไล่ตามไปยิงนัดแรกแล้วก็ตามพวกออกจากร้านทันที สาเหตุที่ทะเลาะกันก็ไม่ร้ายแรงถึงกับต้องฆ่ากัน จำเลยที่ 2 น่าจะกระทำเพื่อต้องการข่มอีกฝ่ายหนึ่งเท่านั้นโดยไม่ประสงค์ต่อผลที่จะฆ่าอีกฝ่ายหนึ่ง แต่การที่จำเลยที่ 2 ใช้ปืนซึ่งเป็นอาวุธร้ายแรงยิงไปทางกลุ่มผู้เสียหายซึ่งมีประมาณ 10 คน โดยไม่ใยดีว่ากระสุนปืนจะถูกผู้ใดหรือไม่แม้จะเป็นการยิงเพียงนัดเพียวก็อาจถูกผู้อื่นถึงแก่ความตายได้ดังจะเห็นได้จากการยิงในครั้งนี้ทำให้กระสุนปืนถูกแขนขวาของผู้เสียหาย จึงเป็นการกระทำที่ย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้นเป็นการกระทำโดยเจตนาฆ่าตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 59 วรรคสองศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว”
พิพากษายืน