คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8992/2542

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยร่วมกันปลอมหนังสือมอบอำนาจไปเป็นหลักฐานการจดทะเบียนโอนที่ดินให้แก่กัน การกระทำของจำเลยย่อมเป็นการโต้แย้งสิทธิ ทำให้ผู้ร้องสอดซึ่งเป็นเจ้าของร่วมในที่ดินพิพาทได้รับความเสียหายในผลแห่งคดีหากศาลมีคำพิพากษาให้จำเลยเป็นฝ่ายชนะผู้ร้องสอดจึงมีสิทธิร้องขอเข้ามาเป็นคู่ความเพื่อยังให้ได้รับความรับรอง คุ้มครอง หรือบังคับตามสิทธิของผู้ร้องสอดที่มีอยู่ในที่ดินพิพาทนั้นแม้ท้ายคำร้องขอจะระบุว่า ขอเข้าเป็นคู่ความแทนที่โจทก์ ก็ต้องถือว่าเป็นการร้องขอเพื่อยังให้ได้ความรับรอง คุ้มครองหรือบังคับตามสิทธิของตนที่มีอยู่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(1) โดยอาศัยคำฟ้องของโจทก์เป็นของผู้ร้องสอด หาใช่เป็นคำร้องสอดเข้าเป็นคู่ความตามมาตรา 57(2) ไม่และศาลมีอำนาจที่จะอนุญาตให้ผู้ร้องสอดเข้ามาเป็นคู่ความตามมาตรา 57(1) ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาว่าหนังสือมอบอำนาจเป็นโมฆะ เพิกถอนการจดทะเบียนโอนซื้อขายที่ดินโฉนดเลขที่ 24111 ตำบลวังโรงใหญ่ อำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา และให้จำเลยทั้งสามไปจดทะเบียนเพิกถอนภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา หากจำเลยทั้งสามไม่ไปให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาหรือมิเช่นนั้นให้จำเลยทั้งสามชดใช้ค่าที่ดินเป็นเงินจำนวน 848,175 บาท
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา ผู้ร้องสอดยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทนที่โจทก์
ศาลชั้นต้นมีคำสั่ง ให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องสอดอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ อนุญาตให้ผู้ร้องสอดเข้าเป็นคู่ความฝ่ายที่สามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(1) โดยให้ผู้ร้องสอดเสียค่าขึ้นศาลตามจำนวนทุนทรัพย์ตามคำร้องขอภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นเห็นสมควรกำหนด
จำเลยที่ 2 และที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ฎีกาว่า ผู้ร้องสอดยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทนที่โจทก์ มิได้ขอเข้าเป็นคู่ความฝ่ายที่สาม และที่ผู้ร้องสอดอ้างว่าเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกับโจทก์เป็นการขัดกับคำฟ้อง จึงไม่มีสิทธิเข้าเป็นคู่ความแทนที่โจทก์นั้น เห็นว่า ผู้ร้องสอดยื่นคำร้องอ้างว่า โจทก์เป็นบิดาผู้ร้องสอดโจทก์ยกที่ดินพิพาทซึ่งเป็นที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) ให้แก่ผู้ร้องสอดเป็นเจ้าของร่วมกับโจทก์ ผู้ร้องสอดเข้าครอบครองด้วยเจตนายึดถือเอาเป็นเจ้าของร่วมกับโจทก์แต่มิได้จดทะเบียนใส่ชื่อผู้ร้องสอดร่วมกับโจทก์เพราะ น.ส.3 สูญหายไป ต่อมาโจทก์ดำเนินการขอออกใบแทน น.ส.3 และเปลี่ยน น.ส.3 เป็นโฉนด ยังไม่ทันจดทะเบียนใส่ชื่อผู้ร้องสอดลงในโฉนด ก็ถูกจำเลยทั้งสามร่วมกันปลอมหนังสือมอบอำนาจฉบับลงวันที่ 6 กรกฎาคม 2534นำไปเป็นหลักฐานการจดทะเบียนโอนที่ดินให้แก่กัน ดังนี้ การกระทำของจำเลยทั้งสามย่อมเป็นการโต้แย้งสิทธิ ทำให้ผู้ร้องสอดซึ่งเป็นเจ้าของร่วมในที่ดินพิพาทได้รับความเสียหายในผลแห่งคดีหากศาลมีคำพิพากษาให้จำเลยทั้งสามเป็นฝ่ายชนะผู้ร้องสอดจึงมีสิทธิร้องขอเข้ามาเป็นคู่ความเพื่อยังให้ได้รับความรับรอง คุ้มครอง หรือบังคับตามสิทธิของผู้ร้องสอดที่มีอยู่ในที่ดินพิพาทนั้นแม้ท้ายคำร้องขอจะระบุว่า ขอเข้าเป็นคู่ความแทนโจทก์ ก็ต้องถือว่าเป็นการร้องขอเพื่อยังให้ได้รับความรับรอง คุ้มครอง หรือบังคับตามสิทธิของตนที่มีอยู่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(1) นั่นเอง โดยอาศัยคำฟ้องของโจทก์เป็นของผู้ร้องสอด หาใช่เป็นคำร้องสอดเข้าเป็นคู่ความตาม มาตรา 57(2) ไม่และศาลมีอำนาจที่จะอนุญาตให้ผู้ร้องสอดเข้ามาเป็นคู่ความตามมาตรา 57(1) ได้ฎีกาของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง ศาลชั้นต้นยังมิได้มีคำสั่งในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมเกี่ยวกับคำร้องขอของผู้ร้องสอด และศาลอุทธรณ์ภาค 1 มิได้มีคำสั่งแก้ไข ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไข”
พิพากษายืน

Share