คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 476/2542

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

หากจำเลยรู้ว่าธนบัตรที่นำมาแลกเปลี่ยนเป็นเงินไทย เป็นธนบัตรปลอมแล้วจำเลยน่าจะนำไปแลกที่ร้านค้า หรือสถานที่รับแลกเปลี่ยนเงินแห่งอื่นและแลกเปลี่ยนครั้งเดียว เพื่อที่ผู้รับแลกเปลี่ยนเงินจากจำเลยจะได้จำจำเลยไม่ได้ และจำเลยจะได้หลบหนีไปให้ไกลจากสถานที่ดังกล่าวไม่น่า จะนำมาแลกที่สถานที่ที่ตนเคยมารับประทานอาหารและเดินเล่น กับทำการแลกถึง 3 ครั้ง ภายในระยะเวลาประมาณ 13 ชั่วโมงทั้งเมื่อแลกได้แล้วก็มิได้หลบหนีไปไหน ซึ่งผิดวิสัยของผู้ที่ กระทำผิดทั่วไปที่จะไม่กระทำผิดในสถานที่ที่ตนเคยไป และเมื่อกระทำผิดมาแล้วก็จะรีบหลบหนีไปให้ไกลจากสถานที่นั้น ๆ ทั้งส.และธ. ซึ่งมีหน้าที่รับแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศต่างรับว่าธนบัตรที่จำเลยนำมาแลกดูไม่ออกว่าเป็นธนบัตรปลอมและตอนที่เจ้าพนักงานตำรวจเข้าไปจับจำเลยนั้นไม่ปรากฏว่า จำเลยมีอาการผิดปกติแต่อย่างใด ตามพฤติการณ์น่าเชื่อว่า จำเลยไม่รู้ว่าธนบัตรที่นำมาแลกเปลี่ยนเป็นเงินไทยเป็น ธนบัตรปลอม พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมารับฟังลงโทษจำเลยในข้อหามีไว้เพื่อนำออกใช้ซึ่งเงินตราของ รัฐบาลต่างประเทศอันตนได้มาโดยรู้ว่าเป็นของปลอมไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 240, 244, 247, 91, 92 พระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 มาตรา 11, 12, 18, 62, 81 เพิ่มโทษจำเลยตามกฎหมายและริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเคยต้องโทษและพ้นโทษมาแล้วตามฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 244 ประกอบมาตรา 240, 247จำคุก 2 ปี และมีความผิดตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522มาตรา 81 อีกกระทงหนึ่ง จำคุก 3 เดือนรวมจำคุก 2 ปี 3 เดือนเพิ่มโทษหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92เป็นจำคุก 3 ปี ริบของกลาง ข้อหาอื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 244 ประกอบด้วยมาตรา 240, 247นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นตามที่โจทก์และจำเลยมิได้โต้แย้งกันในชั้นฎีกาฟังได้ว่าจำเลยได้นำธนบัตรรัฐบาลฮ่องกงฉบับละ 1,000 ดอลลาร์ รวม 3 ฉบับซึ่งเป็นธนบัตรปลอม ไปแลกเปลี่ยนเป็นเงินไทยจากนายสมมิทธิ์ โชติเวชชกุลและนายธีระ ทรงผาสุข เจ้าหน้าที่แลกเปลี่ยนเงินตราของโรงแรมมาเลเซียรวม 3 ครั้ง ครั้งละ 1 ฉบับครั้งแรกวันที่ 15 พฤษภาคม 2540 เวลาประมาณ 15 นาฬิกาครั้งที่ 2 และครั้งที่ 3 วันที่ 16 พฤษภาคม 2540 เวลา 1 นาฬิกาและเวลา 4 นาฬิกา ตามลำดับ โดยจำเลยเคยรับประทานอาหารและเดินอยู่ที่บริเวณโรงแรมมาเลเซีย ต่อมาวันที่ 16 พฤษภาคม 2540เวลา 23.50 นาฬิกา จำเลยถูกจับที่ร้านอาหารใกล้โรงแรมมาเลเซียที่โจทก์ฎีกาว่าตามพฤติการณ์แห่งคดีน่าเชื่อว่าจำเลยรู้ว่าธนบัตรของกลางเป็นของปลอมนั้นเห็นว่า หากจำเลยรู้ว่าธนบัตรที่นำมาแลกเปลี่ยนเป็นเงินไทยเป็นธนบัตรปลอมแล้วจำเลยน่าจะนำไปแลกที่ร้านค้าหรือสถานที่รับแลกเปลี่ยนเงินแห่งอื่นและแลกเปลี่ยนครั้งเดียวเพื่อที่ผู้รับแลกเปลี่ยนเงินจากจำเลยจะได้จำจำเลยไม่ได้และจำเลยจะได้หลบหนีไปให้ไกลจากสถานที่รับแลกเปลี่ยนเงินไม่น่าจะนำมาแลกที่สถานที่ที่จำเลยเคยมารับประทานอาหารและเดินเล่นกับทำการแลกถึง 3 ครั้งภายในระยะเวลาประมาณ 13 ชั่วโมงทั้งเมื่อแลกได้แล้วก็มิได้หลบหนีไปไหน ซึ่งผิดวิสัยของผู้ที่กระทำผิดทั่วไปที่จะไม่กระทำผิดในสถานที่ที่ตนเคยไปและเมื่อกระทำผิดแล้วก็จะรีบหลบหนีไปให้ไกลจากสถานที่ที่ได้กระทำผิดนายสมมิทธิ์และนายธีระพยานโจทก์ทั้งสองปากซึ่งมีหน้าที่รับแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศก็เบิกความว่าพยานดูไม่ออกว่าเป็นธนบัตรปลอม ในตอนที่นายธีระพยานโจทก์กับเจ้าพนักงานตำรวจเดินเข้าไปจับจำเลยในร้านอาหารจำเลยก็ไม่มีอาการผิดปกติแต่อย่างใด ตามพฤติการณ์น่าเชื่อว่าจำเลยไม่รู้ว่าธนบัตรที่นำมาแลกเปลี่ยนเป็นเงินไทยเป็นธนบัตรปลอม พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมารับฟังลงโทษจำเลยในข้อหามีไว้เพื่อนำออกใช้ซึ่งเงินตราของ รัฐบาลต่างประเทศอันตนได้มาโดยรู้ว่าเป็นของปลอมไม่ได้ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share