คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1204/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีที่โจทก์ฟ้องด้วยวาจา พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงฯ พ.ศ. 2499 มาตรา 19 ให้ศาลบันทึกใจความแห่งคำฟ้องไว้เป็นหลักฐานเท่านั้น หาจำต้องบันทึกคำฟ้องโดยละเอียดดังเช่นการฟ้องเป็นหนังสือไม่ และก่อนบันทึกคำฟ้อง ศาลอาจจะสอบถามโจทก์เกี่ยวกับการกระทำและข้อเท็จจริงต่าง ๆ ที่อ้างว่าจำเลยกระทำผิด แล้วบันทึกไว้แต่เฉพาะใจความของคำฟ้องที่สำคัญ
การที่ศาลบันทึกคำฟ้องด้วยวาจาของโจทก์ว่า จำเลยได้ร่วมกันเป็นเจ้าของและจัดให้มีการฉายภาพยนตร์ลามกอนาจารโดยผิดกฎหมายนั้น ย่อมแสดงอยู่ในตัวว่าจำเลยได้ร่วมกันทำให้แพร่หลายซึ่งภาพยนตร์ที่ลามกอันเป็นการผิดกฎหมาย กล่าวคือกระทำเพื่อการแสดงอวดแก่สาธารณชนหรือแก่ประชาชน เป็นใจความคำฟ้องที่ครบองค์ประกอบความผิดตามพระราชบัญญัติปรามการทำให้แพร่หลายและการค้าวัตถุอันลามก พ.ศ. 2471 มาตรา 3 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 287 (1) แล้ว
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้งหมดมีความผิดตามพระราชบัญญัติปรามการทำให้แพร่หลายและการค้าวัตถุอันลามก และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 287 และลงโทษจำคุกจำเลย จำเลยบางคนอุทธรณ์ขอให้รอการลงโทษ ศาลอุทธรณ์เห็นว่าฟ้องโจทก์มิได้บรรยายให้ครบองค์ประกอบความผิด พิพากษากลับให้ยกฟ้อง โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาเห็นว่าใจความแห่งคำฟ้องครบองค์ประกอบความผิดแล้ว และเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหาเรื่องการลดหย่อนผ่อนโทษไปเสียทีเดียว โดยเห็นว่าคดีนี้โจทก์มิได้ฟ้องว่าจำเลยกระทำเพื่อความประสงค์แห่งการค้าหรือโดยการค้าประการใด และสภาพแห่งความผิดของจำเลยมีเหตุอันควรรอการลงโทษให้จำเลยได้ ดังนี้ ถือว่าเหตุในการรอการลงโทษนี้เป็นเหตุในลักษณะคดี ศาลฎีกาย่อมพิพากษาให้รอการลงโทษตลอดไปถึงจำเลยที่มิได้อุทธรณ์ด้วยได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องด้วยวาจาปรากฏตามบันทึกคำฟ้องประกอบกับบันทึกหลักฐานการฟ้องคดีด้วยวาจาว่า จำเลยได้ร่วมกันเป็นเจ้าของและจัดให้มีการฉายภาพยนตร์ลามกอนาจารโดยผิดกฎหมาย เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยได้พร้อมด้วยของกลาง ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติปรามการทำให้แพร่หลายและการค้าวัตถุอันลามก พ.ศ. ๒๔๗๑ มาตรา ๓,๔ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๗ (๑) (๒) (๓) กับขอให้ริบของกลาง
จำเลยทุกคนให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทุกคนมีความผิดตามพระราชบัญญัติปรามการทำให้แพร่หลายและการค้าวัตถุอันลามก พ.ศ. ๒๔๗๑ มาตรา ๓,๔ และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๗ เมื่อลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ แล้ว คงจำคุกคนละ ๑ เดือน ริบของกลาง
จำเลยที่ ๑,๒,๔,๕,๖,๗,๘,๙ และ ๑๑ อุทธรณ์ขอให้รอการลงโทษศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์มิได้บรรยายให้ครบถ้วนองค์ประกอบแห่งความผิด แม้จำเลยรับสารภาพก็ลงโทษจำเลยมิได้ และโดยเหตุที่เป็นลักษณะคดี แม้จำเลยที่ ๓ และจำเลยที่ ๑๐ จะมิได้อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ก็มีอำนาจพิพากษายกฟ้องได้ พิพากษากลับให้ยกฟ้อง คืนของกลางแก่จำเลย
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามพระราชบัญญัติปรามการทำให้แพร่หลายและการค้าวัตถุอันลามก พุทธศักราช ๒๔๗๑ มาตรา ๓ หากผู้ใดเพื่อแสดงอวดแก่สาธารณชน ทำให้แพร่หลายซึ่งภาพยนตร์ที่ลามก ก็ย่อมมีความผิดแล้ว และตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๗ (๑) หากผู้ใดเพื่อการแสดงอวดแก่ประชาชน ทำให้แพร่หลายโดยประการใด ๆ ซึ่งภาพยนตร์อันลามก ก็ย่อมจะมีความผิดเช่นเดียวกัน การที่โจทก์ฟ้องด้วยวาจาว่า จำเลยได้ร่วมกันเป็นเจ้าของและจัดให้มีการฉายภาพยนตร์ลามกอนาจารโดยผิดกฎหมาย ย่อมแสดงอยู่ในตัวว่าจำเลยได้ร่วมกันทำให้แพร่หลายซึ่งภาพยนตร์ที่ลามกอันเป็นการผิดกฎหมาย กล่าวคือกระทำเพื่อการแสดงอวดแก่สาธารณชนหรือแก่ประชาชนแล้ว การบรรยายฟ้องด้วยวาจานั้นพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. ๒๔๙๙ มาตรา ๑๙ ให้ศาลบันทึกใจความแห่งคำฟ้องไว้เป็นหลักฐานเท่านั้น หาจำต้องบันทึกคำฟ้องโดยละเอียดดังเช่นการฟ้องเป็นหนังสือไม่ และก่อนบันทึกคำฟ้องศาลอาจจะสอบถามโจทก์เกี่ยวกับการกระทำและข้อเท็จจริงต่าง ๆ ที่อ้างว่าจำเลยกระทำผิดได้ แล้วศาลก็บันทึกไว้แต่เฉพาะใจความของคำฟ้องที่สำคัญเท่านั้น ฉะนั้นเมื่อพิจารณาใจความที่ศาลบันทึกคำฟ้องของโจทก์ที่ฟ้องด้วยวาจาประกอบกับบันทึกหลักฐานการฟ้องคดีด้วยวาจาที่โจทก์ส่งศาลในคดีนี้แล้ว ศาลฎีกาเห็นว่าเป็นใจความคำฟ้องครบองค์ประกอบความผิดตามพระราชบัญญัติปรามการทำให้แพร่หลายและการค้าวัตถุอันลามก พุทธศักราช ๒๔๗๑ มาตรา ๓ และตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๗ (๑) แล้ว
เนื่องจากศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยปัญหาเรื่องการลดหย่อนผ่อนโทษที่จำเลยทุกคน เว้นจำเลยที่ ๓ และจำเลยที่ ๑๐ อุทธรณ์ ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหานี้ไปเสียทีเดียวโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยอีกครั้งหนึ่ง และเห็นว่าความผิดดังที่โจทก์ฟ้องนี้ มาตรา ๒๘๗ แห่งประมวลกฎหมายอาญา กำหนดโทษให้จำคุกไม่เกิน ๖ เดือน หรือปรับไม่เกิน ๑,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งแสดงว่าความผิดเช่นนี้มิใช่ความผิดที่ร้ายแรงนัก กฎหมายจึงเปิดโอกาสให้ศาลใช้ดุลพินิจได้หลายประการตามความเหมาะสมและตามสภาพแห่งความผิด เฉพาะคดีนี้โจทก์ก็มิได้ฟ้องว่า จำเลยได้กระทำเพื่อความประสงค์แห่งการค้าหรือโดยการค้าประการใด ตามข้อเท็จจริงแล้วสภาพแห่งความผิดของจำเลยมีเหตุอันควรรอการลงโทษให้จำเลยได้
พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นว่า จำเลยทุกคนมีความผิดตามพระราชบัญญัติปรามการทำให้แพร่หลายและการค้าวัตถุอันลามก พุทธศักราช ๒๔๗๑ มาตรา ๓ และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๗ (๑) ให้จำคุกจำเลยทุกคนไว้มีกำหนดคนละ ๑ เดือน แต่ให้รอการลงโทษจำเลยที่อุทธรณ์ไว้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๖ มีกำหนดคนละ ๑ ปี และเนื่องจากเหตุในการรอการลงโทษนี้เป็นเหตุในลักษณะคดี จึงให้จำเลยที่ ๓ และจำเลยที่ ๑๐ ซึ่งมิได้อุทธรณ์ได้รับผลแห่งการรอการลงโทษเช่นเดียวกับจำเลยอื่นที่อุทธรณ์ด้วย ริบของกลาง.

Share