คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2619/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้ว่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1169 วรรคสองโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ภาษีอากรของบริษัทจำเลยที่ 1 จะมีสิทธิฟ้องเรียกร้องเอาค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นกรรมการที่ทำให้เกิดเสียหายแก่จำเลยที่ 1 ก็ตาม แต่ก็เป็นเพียงสิทธิเรียกร้องที่จะเอาค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยที่ 2 เท่านั้น มิใช่เป็นปัญหาเกี่ยวกับสิทธิเรียกร้องของรัฐในหนี้ค่าภาษีอากรที่มีต่อจำเลยที่ 2แต่ประการใด การที่โจทก์ใช้สิทธิเรียกร้องของจำเลยที่ 1 ฟ้องเรียกร้องเอาค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยที่ 2 เช่นนี้ จึงมิใช่เป็นการฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 2 ชำระค่าภาษีอากรให้แก่โจทก์โดยตรงคดีระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 จึงมิใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิเรียกร้องของของรัฐในหนี้ค่าภาษีอากร ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 7(2)โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 ต่อศาลภาษีอากรกลาง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นหนี้ค่าภาษีอากรโจทก์ จำเลยที่ 2ซึ่งเป็นกรรมการผู้จัดการของจำเลยที่ 1 ได้ยักยอกเงินของจำเลยที่ 1และนำเงินสดของจำเลยที่ 1 ให้ผู้เป็นหุ้นส่วนและลูกจ้างของจำเลยที่ 1 กู้ยืม โดยไม่มีหลักประกัน แล้วละเลยไม่ติดตามทวงถาม ทำให้จำเลยที่ 1 ได้รับความเสียหาย โจทก์จึงใช้สิทธิเรียกร้องของจำเลยที่ 1 ฟ้องจำเลยที่ 2 ให้ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 เท่าจำนวนเงินที่จำเลยที่ 1 ค้างชำระค่าภาษีอากรแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การและจำเลยที่ 1 ขาดนัดพิจารณา
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าภาษีอากรให้โจทก์ตามฟ้องและยกฟ้องจำเลยที่ 2
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องอ้างว่าจำเลยที่ 2 กรรมการผู้จัดการของจำเลยที่ 1 ได้ยักยอกเงินของจำเลยที่ 1 และนำเงินสดของจำเลยที่ 1 ให้ผู้เป็นหุ้นส่วนและลูกจ้างของจำเลยที่ 1 กู้ยืมโดยไม่มีหลักประกัน แล้วละเลยไม่ติดตามทวงถามทำให้จำเลยที่ 1 ได้รับความเสียหาย โจทก์เป็นเจ้าหนี้ค่าภาษีอากรของจำเลยที่ 1 จึงใช้สิทธิเรียกร้องของจำเลยที่ 1 ฟ้องจำเลยที่ 2ให้ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ด้วย ปัญหาตามอุทธรณ์ของโจทก์คงมีเพียงว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 หรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่าปัญหาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 นั้น เป็นเรื่องที่โจทก์กล่าวอ้างว่า จำเลยที่ 2 กรรมการบริษัทจำเลยที่ 1 ทำให้เกิดเสียหายแก่จำเลยที่ 1 แม้ว่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1169 วรรคสองโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ของจำเลยที่ 1 มีสิทธิฟ้องเรียกร้องเอาค่าสินไหมทดแทนแก่จำเลยที่ 2 ได้เท่าที่โจทก์ยังคงมีสิทธิเรียกร้องแก่จำเลยที่ 1 อยู่ก็ตาม ก็เป็นเพียงสิทธิเรียกร้องที่จะเอาค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยที่ 2 เท่านั้น มิใช่เป็นปัญหาเกี่ยวกับสิทธิเรียกร้องของรัฐในหนี้ค่าภาษีอากรที่มีต่อจำเลยที่ 2แต่ประการใด ดังนั้น ปัญหาที่โจทก์จะใช้สิทธิเรียกร้องของจำเลยที่ 1ฟ้องร้องเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนแก่จำเลยที่ 2 เช่นนี้ จึงมิใช่เป็นการฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 2 ชำระค่าภาษีอากรให้แก่โจทก์โดยตรงคดีระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 จึงมิใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิเรียกร้องของรัฐในหนี้ค่าภาษีอากร และไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลภาษีอากร ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 7(2) โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 ต่อศาลภาษีอากรกลาง
พิพากษายืน

Share