แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ป.พ.พ.มาตรา 1470 ที่กำหนดให้ทรัพย์สินระหว่างสามีภริยาประกอบด้วยสินส่วนตัวและสินสมรสนั้น หมายถึงทรัพย์สินที่สามีภริยามีอยู่ในขณะที่เป็นสามีภริยากัน เมื่อ ณ.ถึงแก่ความตาย การสมรสระหว่าง ณ.และโจทก์ย่อมสิ้นสุดลงตาม ป.พ.พ.มาตรา 1501
เงินชดเชยที่เกิดขึ้นเนื่องจากความตายของ ณ. และได้รับมาหลังจาก ณ.ถึงแก่ความตายไปแล้ว ไม่เป็นสินสมรสระหว่างสามีภริยา ทั้งสิทธิที่จะได้เงินค่าชดเชยนี้มิใช่เป็นเงินหรือสิทธิเรียกร้องที่ ณ.ได้มีอยู่แล้วในระหว่างมีชีวิตหรือขณะถึงแก่กรรม จึงมิใช่เป็นทรัพย์มรดกของ ณ. เมื่อระเบียบของจำเลยที่ 2ผู้เป็นนายจ้างกำหนดให้ต้องนำเงินชดเชยมาหักหนี้สินที่ ณ.สามีโจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างมีต่อจำเลยที่ 2 ก่อน จำเลยที่ 2 จึงมีสิทธิที่จะหักหนี้ดังกล่าวได้โดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากโจทก์ก่อน
ป.พ.พ.มาตรา 1625 เป็นเพียงบทบัญญัติที่กำหนดให้มีการแบ่งทรัพย์สินระหว่างผู้ตายกับคู่สมรสที่ยังมีชีวิตอยู่เพื่อแยกเป็นมรดกของผู้ตายกับทรัพย์สินของคู่สมรสที่ยังมีชีวิตอยู่ แล้วนำมรดกของผู้ตายมาแบ่งปันให้แก่ทายาทเท่านั้นหาใช่เป็นการกำหนดให้ต้องมีการนำมรดกของผู้ตายมาชดใช้สินสมรสของคู่สมรสของผู้ตายไม่
สิทธิในการได้รับเงินเพื่อนช่วยเพื่อนเกิดขึ้นเนื่องจากความตายของ ณ.ซึ่งเป็นพนักงานของจำเลยที่ 2 มิใช่เป็นเงินหรือสิทธิเรียกร้องที่ ณ.มีอยู่แล้วในระหว่างมีชีวิตหรือขณะถึงแก่ความตาย แม้วิธีการที่จะได้รับเงินจำนวนนี้มาผู้ตายจะต้องเคยชำระเงินในอัตรา 10 บาท ต่อผู้เสียชีวิต 1 ราย ร่วมกับพนักงานของจำเลยที่ 2 คนอื่น ๆ เพื่อรวบรวมนำส่งให้แก่ทายาทของพนักงานผู้ถึงแก่ความตายรายก่อน ๆ ก็ตาม ก็มิใช่เป็นมรดกของ ณ. ดังนั้นโจทก์ซึ่งเป็นคู่สมรสของ ณ.จึงไม่มีสิทธิมาขอแบ่ง
เงินประกันชีวิตเป็นเงินที่เกิดจากสัญญาระหว่าง ณ.กับบุคคลภายนอกและจำเลยที่ 2 เพื่อให้ใช้เงินแก่ผู้รับประโยชน์ คือ จำเลยที่ 1 สืบเนื่องจากความมรณะของ ณ.อันมีลักษณะเป็นการประกันชีวิต สิทธิตามสัญญาเกิดขึ้นเมื่อผู้ประกันชีวิตถึงแก่กรรม จึงมิใช่มรดกของ ณ.ที่มีอยู่ในขณะถึงแก่ความตาย
แม้สัญญาประกันชีวิตที่ ณ.ระบุให้จำเลยที่ 1 ซึ่งมิใช่คู่สมรสเป็นผู้รับประโยชน์อันต้องบังคับตาม ป.พ.พ.มาตรา 897 วรรคสอง ที่กำหนดไว้ว่าเฉพาะแต่จำนวนเงินเบี้ยประกันภัยซึ่งผู้เอาประกันภัยได้ส่งไปแล้วนั้นจักเป็นสินทรัพย์ส่วนหนึ่งแห่งกองมรดกของผู้เอาประกันภัยอันเจ้าหนี้จะเอาใช้หนี้ได้ เมื่อโจทก์มิได้ฟ้องเรียกเอาเบี้ยประกันภัยจำนวนดังกล่าว แต่โจทก์ฟ้องเพื่อเรียกเงินประกันชีวิตว่าโจทก์มีสิทธิกึ่งหนึ่ง ส่วนอีกกึ่งหนึ่งเป็นมรดกของ ณ.ที่จะตกแก่ทายาท ดังนี้ฎีกาของโจทก์ในส่วนเบี้ยประกันภัย จึงเป็นข้อที่มิได้ว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นทั้งมิใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ต้องห้ามฎีกาตามป.วิ.พ.มาตรา 249 วรรคหนึ่ง และวรรคสอง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายณรงค์ชัย อุระสุข จำเลยที่ ๑ เป็นมารดาของนายณรงค์ชัย จำเลยที่ ๓ เป็นผู้จัดการของจำเลยที่ ๒ และเป็นผู้บังคับบัญชาของนายณรงค์ชัย เมื่อวันที่ ๒๑กรกฎาคม ๒๕๓๖ นายณรงค์ชัยถึงแก่กรรม โดยมีสินสมรสเป็นเงินกู้ยืมที่นายณรงค์ชัยกู้มาจากจำเลยที่ ๒ จำนวน ๒๗๑,๑๐๖.๙๕ บาท เงินกู้ที่โจทก์กู้มาจากสหกรณ์ออมทรัพย์ครูศรีสะเกษ จำกัด จำนวน ๑๘๐,๙๕๐ บาท เงินชดเชยและผลประโยชน์ของผู้ตายจำนวน ๘๕,๓๘๐ บาท เงินกองทุนเลี้ยงชีพจำนวน ๒๕,๔๙๐.๔๓ บาทเงินเพื่อนช่วยเพื่อนจำนวน ๘๕,๐๐๐ บาท และเงินประกันชีวิตของผู้ตายจำนวน๑๐๐,๐๐๐ บาท ซึ่งโจทก์มีสิทธิได้รับกึ่งหนึ่ง ส่วนอีกกึ่งหนึ่งเป็นมรดกของผู้ตายที่แบ่งกันระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ แต่จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ร่วมกันนำเงินชดเชยและผลประโยชน์ของผู้ตายกับเงินกองทุนเลี้ยงชีพรวมเป็นเงิน ๑๑๐,๘๗๐.๔๓ บาทที่นายณรงค์ชัยมีสิทธิได้รับไปหักชำระหนี้ที่นายณรงค์ชัยมีอยู่ต่อจำเลยที่ ๒ กับมอบเงินเพื่อนช่วยเพื่อนและเงินประกันชีวิตของผู้ตายให้แก่จำเลยที่ ๑ เพียงผู้เดียว โดยไม่มีการแบ่งเป็นสินสมรสและมรดกให้แก่โจทก์ตามกฎหมายก่อน และจำเลยที่ ๑ยังปิดบังเงินช่วยงานศพจำนวน ๕๐,๐๐๐ บาทเศษ ซึ่งเป็นกองทุนมรดกของผู้ตายนอกจากนี้จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ยังเรียกให้โจทก์ชำระหนี้แก่จำเลยที่ ๒ แทนนายณรงค์ชัยไปบางส่วนด้วย การกระทำของจำเลยทั้งสามเป็นการหลอกลวงให้โจทก์รับภาระในหนี้เพียงผู้เดียว กับเป็นการปิดบังทรัพย์มรดก เงินที่จำเลยที่ ๒และที่ ๓ หักชำระหนี้รวมกับเงินที่ส่งมอบให้จำเลยที่ ๑ เป็นเงิน ๒๙๕,๘๗๐.๔๓ บาทกับเงินที่โจทก์ชำระหนี้แทนนายณรงค์ชัย จำนวน ๒๐,๕๕๐ บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น๓๑๖,๔๒๐.๔๓ บาท โจทก์ทวงถามให้จำเลยทั้งสามคืนเงินจำนวนดังกล่าว แต่จำเลยทั้งสามเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันคืนเงินจำนวน ๓๑๖,๔๒๐.๔๓บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับตั้งแต่วันฟ้องเป็นต้นไปให้แก่โจทก์ และร่วมกับโจทก์เพื่อแบ่งสินสมรสและมรดก กับหักชำระหนี้ให้ถูกต้องต่อไป
จำเลยทั้งสามให้การต่อสู้คดี ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า โจทก์กับนายณรงค์ชัย อุระสุข เป็นสามีภริยาโดยจดทะเบียนสมรสกัน เมื่อวันที่ ๒๕ มิถุนายน๒๕๓๔ ไม่มีบุตรด้วยกัน จำเลยที่ ๑ เป็นมารดาของนายณรงค์ชัย จำเลยที่ ๒ เป็นนิติบุคคลประกอบกิจการธนาคารโดยมีจำเลยที่ ๓ เป็นผู้จัดการของจำเลยที่ ๒นายณรงค์ชัยเป็นพนักงานของจำเลยที่ ๒ เมื่อวันที่ ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๓๖ นายณรงค์ชัยถึงแก่กรรมทำให้มีสิทธิได้รับเงินชดเชย จำนวน ๘๕,๓๘๐ บาท เงินกองทุนเลี้ยงชีพจำนวน ๒๕,๔๙๐.๔๓ บาท เงินเพื่อนช่วยเพื่อน จำนวน ๘๕,๐๐๐ บาท และเงินประกันชีวิต จำนวน ๑๐๐,๐๐๐ บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๒๙๕,๘๗๐.๔๓ บาทจำเลยที่ ๒ โดยจำเลยที่ ๓ นำเงินชดเชยและเงินกองทุนเลี้ยงชีพดังกล่าวไปชำระหนี้ที่นายณรงค์ชัยเป็นหนี้จำเลยที่ ๒ และจำเลยที่ ๑ ได้รับเงินเพื่อนช่วยเพื่อนและเงินประกันชีวิตมาแล้ว
คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า เงินชดเชยเงินกองทุนเลี้ยงชีพ เงินเพื่อนช่วยเพื่อน และเงินประกันชีวิตดังกล่าวเป็นสินสมรสระหว่างนายณรงค์ชัยกับโจทก์ และเป็นมรดกของนายณรงค์ชัยที่โจทก์มีสิทธิได้รับส่วนแบ่งบ้างหรือไม่ จะได้วินิจฉัยเป็นลำดับ เริ่มตั้งแต่เงินชดเชยจำนวน ๘๕,๓๘๐ บาท ที่โจทก์อ้างว่าเป็นเงินที่เกิดขึ้นตามสิทธิและผลประโยชน์ตามกฎหมายแรงงาน จึงเป็นสินสมรสและเป็นมรดกของนายณรงค์ชัยที่โจทก์มีสิทธิได้รับส่วนแบ่ง เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๔๗๐ ที่กำหนดให้ทรัพย์สินระหว่างสามีภริยาประกอบด้วยสินส่วนตัวและสินสมรสนั้น หมายถึงทรัพย์สินที่สามีภรรยามีอยู่ในขณะที่เป็นสามีภริยากัน การที่นายณรงค์ชัยถึงแก่กรรมย่อมทำให้การสมรสระหว่างนายณรงค์ชัยกับโจทก์สิ้นสุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๐๑ ฉะนั้น เงินชดเชยซึ่งเป็นเงินที่เกิดขึ้นเนื่องจากความตายของนายณรงค์ชัย และได้รับมาหลังจากนายณรงค์ชัยถึงแก่กรรมไปแล้วจึงไม่เป็นสินสมรสระหว่างนายณรงค์ชัยกับโจทก์
ส่วนเงินชดเชยนี้จะเป็นมรดกของนายณรงค์ชัยหรือไม่นั้น เห็นว่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๖๐๐ ที่กำหนดให้ทรัพย์สินทุกชนิดของผู้ตายตลอดทั้งสิทธิ หน้าที่และความรับผิดต่าง ๆ เป็นมรดกของผู้ตายนั้น ทรัพย์สินหรือสิทธิเช่นว่านี้จะต้องเป็นของผู้ตายอยู่แล้วในขณะที่ผู้ตายถึงแก่กรรม แต่สิทธิที่จะได้เงินค่าชดเชยเป็นสิทธิที่เกิดขึ้นเนื่องจากความตายของนายณรงค์ชัย มิใช่เป็นเงินหรือสิทธิเรียกร้องที่นายณรงค์ชัยมีอยู่แล้วในระหว่างมีชีวิตหรือขณะถึงแก่กรรม จึงมิใช่เป็นทรัพย์มรดกของนายณรงค์ชัยเช่นเดียวกัน บุคคลผู้มีสิทธิรับเงินชดเชยและเงื่อนไขการจ่ายเงินจึงต้องเป็นไปตามระเบียบที่จำเลยที่ ๒ กำหนด เมื่อระเบียบของจำเลยที่ ๒ กำหนดให้ต้องนำเงินชดเชยมาหักหนี้สินที่นายณรงค์ชัยมีต่อจำเลยที่ ๒ก่อน จำเลยที่ ๒ จึงมีสิทธิที่จะหักหนี้ดังกล่าวได้โดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากโจทก์เมื่อปรากฏว่าหลังจากหักหนี้สินแล้วไม่มีเงินเหลืออยู่อีกเลย โจทก์จึงไม่มีสิทธิใด ๆในเงินชดเชยนี้
สำหรับเงินกองทุนเลี้ยงชีพ จำนวน ๒๕,๔๙๐.๔๓ บาท โจทก์ยอมรับว่าเป็นทรัพย์มรดกของนายณรงค์ชัย แต่โต้แย้งว่าทรัพย์มรดกดังกล่าวต้องหักชดใช้สินสมรสระหว่างโจทก์กับนายณรงค์ชัยครึ่งหนึ่งก่อน โจทก์จึงมีสิทธิได้รับส่วนแบ่งเป็นเงิน ๑๒,๗๔๕.๒๑ บาท เห็นว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๖๒๕ เป็นเพียงบทบัญญัติที่กำหนดให้มีการแบ่งทรัพย์สินระหว่างผู้ตายกับคู่สมรสที่ยังมีชีวิตอยู่เพื่อแยกเป็นมรดกของผู้ตายกับทรัพย์สินของคู่สมรสที่ยังมีชีวิตอยู่แล้วนำมรดกของผู้ตายมาแบ่งปันให้แก่ทายาทเท่านั้น หาใช่เป็นการกำหนดให้ต้องมีการนำมรดกของผู้ตายมาชดใช้สินสมรสของคู่สมรสของผู้ตายไม่ และโจทก์ก็เบิกความยอมรับว่าเงินกองทุนเลี้ยงชีพดังกล่าวโจทก์ได้รับจากจำเลยที่ ๒แล้วนำไปชำระหนี้เงินที่ผู้ตายกู้ยืมจำเลยที่ ๒ ดังนั้น โจทก์จึงไม่มีสิทธิใด ๆในเงินกองทุนเลี้ยงชีพ
สำหรับเงินเพื่อนช่วยเพื่อน จำนวน ๘๕,๐๐๐ บาท โจทก์อ้างว่าเป็นมรดกของนายณรงค์ชัยเพราะเป็นเงินที่นายณรงค์ชัยยินยอมให้จำเลยที่ ๒ หักเงินเดือนของผู้ตายในอัตรา ๑๐ บาท ต่อผู้เสียชีวิต ๑ ราย เพื่อนำส่งให้แก่ทายาทของพนักงานผู้ถึงแก่กรรมนั้น เห็นว่า สิทธิในการได้รับเงินเพื่อนช่วยเพื่อนเกิดขึ้นเนื่องจากความตายของนายณรงค์ชัย มิใช่เป็นเงินหรือสิทธิเรียกร้องที่นายณรงค์ชัยมีอยู่แล้ว ในระหว่างมีชีวิตหรือขณะถึงแก่กรรม แม้วิธีการที่จะได้รับเงินจำนวนนี้มานายณรงค์ชัยจะต้องเคยชำระเงินในอัตรา ๑๐ บาท ต่อผู้เสียชีวิต๑ ราย ร่วมกับพนักงานของจำเลยที่ ๒ คนอื่น ๆ เพื่อรวบรวมนำส่งให้แก่ทายาทของพนักงานผู้ถึงแก่กรรมรายก่อน ๆ ก็ตาม ก็มิใช่เป็นมรดกของนายณรงค์ชัย โจทก์จึงไม่มีสิทธิมาขอแบ่ง
ส่วนเงินประกันชีวิตจำนวน ๑๐๐,๐๐๐ บาท นั้น โจทก์อ้างว่านายณรงค์ชัยชำระเบี้ยประกันภัยโดยการให้จำเลยที่ ๒ หักเงินจากเงินทุนเลี้ยงชีพที่จำเลยที่ ๒ จ่ายให้นายณรงค์ชัยทุกปีเป็นจำนวน ๔๑๘ บาทต่อปี ตั้งแต่ปี ๒๕๒๙จนถึงปี ๒๕๓๖ ที่นายณรงค์ชัยถึงแก่กรรมรวม ๘ ปี เป็นเงิน ๓,๓๔๔ บาทเบี้ยประกันภัยจำนวน ๓,๓๔๔ บาท ดังกล่าวจึงเป็นมรดกของนายณรงค์ชัยที่โจทก์มีสิทธิขอแบ่ง เห็นว่า เงินประกันชีวิตเป็นเงินที่เกิดจากสัญญาระหว่างผู้ตายกับบุคคลภายนอกและจำเลยที่ ๒ เพื่อให้ใช้เงินแก่แก่ผู้รับประโยชน์ คือ จำเลยที่ ๑สืบเนื่องจากความมรณะของผู้ตายอันมีลักษณะเป็นการประกันชีวิต สิทธิตามสัญญาเกิดขึ้นเมื่อผู้ประกันชีวิตถึงแก่กรรม จึงมิใช่มรดกของผู้ตายที่มีอยู่ในขณะถึงแก่กรรมที่โจทก์จะใช้สิทธิแบ่งได้
ที่โจทก์ฎีกาว่า เงินเบี้ยประกันชีวิตที่ผู้ตายให้หักจากเงินทุนเลี้ยงชีพที่จำเลยที่ ๒ จ่ายแทนให้ผู้ตายทุกปีเป็นเงิน ๔๑๘ บาท ต่อปี ตั้งแต่ปี ๒๕๒๙ถึงปี ๒๕๓๖ รวม ๘ ปี เป็นเงิน ๓,๓๔๔ บาท จึงเรียกเบี้ยประกันชีวิตจำนวน๓,๓๔๔ บาท โดยอ้างว่า เป็นมรดกของผู้ตายที่โจทก์มีสิทธิขอแบ่งนั้น แม้สัญญาประกันชีวิตที่ผู้ตายระบุให้จำเลยที่ ๑ ซึ่งมิใช่คู่สมรสเป็นผู้รับประโยชน์อันต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๘๙๗ วรรคสอง ที่กำหนดไว้ว่า เฉพาะแต่จำนวนเงินเบี้ยประกันภัย ซึ่งผู้เอาประกันภัยได้ส่งไปแล้วนั้นจักเป็นสินทรัพย์ส่วนหนึ่งแห่งกองมรดกของผู้เอาประกันภัยอันเจ้าหนี้จะเอาใช้หนี้ได้ แต่เนื่องจากโจทก์มิได้ฟ้องเรียกเอาเบี้ยประกันภัยจำนวน ๓,๓๔๔ บาท ดังกล่าว โดยกล่าวอ้างมาในคำฟ้องเพื่อเรียกเงินประกันชีวิตจำนวน ๑๐๐,๐๐๐ บาท ว่า โจทก์มีสิทธิกึ่งหนึ่งส่วนอีกกึ่งหนึ่งเป็นมรดกของผู้ตายที่จะตกแก่ทายาท แต่จำเลยที่ ๒ มอบเงินประกันชีวิตแก่จำเลยที่ ๑ เพียงผู้เดียวเป็นการไม่ชอบ ในส่วนเบี้ยประกันภัยจำนวน ๓,๓๔๔ บาทจึงเป็นข้อที่มิได้ว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ทั้งมิใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๙ วรรคหนึ่ง และวรรคสอง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายืน.