แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
ในคดีแพ่ง แม้คู่ความฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดตายก่อนศาลพิพากษา แต่ปรากฏต่อศาลเมื่ออ่านคำพิพากษาแล้ว คำพิพากษาก็คงสมบูรณ์
โจทก์จึงแก่ความตายก่อนอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 แต่ปรากฏต่อศาลหลังอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 แล้ว เมื่อคดีอยู่ระหว่างระยะยื่นฎีกาศาลชั้นต้นย่อมดำเนินกระบวนพิจารณาหาบุคคลเข้ามาเป็นคู่ความแทนที่โจทก์ผู้มรณะ รวมทั้งมีคำสั่งในการที่เข้ามาเป็นคู่ความแทนที่ผู้มรณะได้ตามนัยมาตรา 42, 43 และ 44 แห่ง ป.วิ.พ. การที่ศาลชั้นต้นมิได้ดำเนินการดังกล่าวเสียก่อนแล้วมีคำสั่งรับฎีกาของโจทก์และจำเลยจึงเป็นการไม่ชอบ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียกันกับนางบุญมา มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน 6 คน ส่วนบิดามารดาถึงแก่ความตายแล้ว นางบุญมาสมรสกับจำเลยแต่ไม่มีบุตรด้วยกัน ต่อมาเมื่อวันที่ 6 กันยายน 2541 นางบุญมาถึงแก่ความตาย จำเลยยื่นคำร้องขอต่อศาล เพื่อให้ศาลตั้งจำเลยเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย ศาลมีคำสั่งตั้งจำเลยเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย ขอให้กำจัดจำลยมิให้ได้ทรัพย์มรดกที่ดินโฉนดเลขที่ 68998 และให้เพิกถอนการจดทะเบียนรับโอนมรดกที่ดินโฉนดเลขที่ 68998 จากจำเลยกลับมาเป็นของกองมรดกของนางบุญมา ผู้ตายเดิมโดยให้จำเลยเป็นผู้เสียค่าธรรมเนียมในการโอน
จำเลยให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนการจดทะเบียนการรับโอนมรดกของจำเลยในที่ดินโฉนดเลขที่ 68998 กลับเข้ามาเป็นทรัพย์ในกองมรดกของนางบุญมาผู้ตาย โดยให้จำเลยเป็นผู้เสียค่าธรรมเนียม คำขออื่นให้ยก
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ให้คู่ความฟังเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2545 ต่อมาจึงปรากฏว่าโจทก์ถึงแก่ความตายแล้วตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคม 2545 ตามคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นฎีกาของทนายโจทก์ลงวันที่ 17 ธันวาคม 2545
โจทก์และจำเลยฎีกา “หลังจากศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2545 แล้ว ทนายโจทก์ก็ได้ยื่นคำร้องลงวันที่ 17 ธันวาคม 2545 ขอขยายระยะเวลาฎีกา โดยในคำร้องระบุว่า โจทก์ได้ถึงแก่ความตายตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคม 2545 ทายาทของโจทก์อยู่ระหว่างการร้องขอขยายระยะเวลายื่นฎีกา ซึ่งต่อมาวันที่ 18 ธันวาคม 2545 ทนายจำเลยก็ยื่นฎีกาและยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นว่าโจทก์ถึงแก่ความตายก่อนศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 จึงขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเรียกนายฟักซึ่งเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันกับโจทก์ เข้ารับมรดกความแทนที่โจทก์ผู้มรณะ แต่ศาลชั้นต้นมิได้ไต่สวนให้ได้ความว่า โจทก์ถึงแก่ความตายจริงหรือไม่ ทั้งมิได้มีคำสั่งตามคำร้องของทนายจำเลยก่อนมีคำสั่งรับฎีกาของโจทก์และจำเลย เห็นว่า ในคดีแพ่งแม้คู่ความฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดตายก่อนศาลพิพากษา แต่ปรากฏต่อศาลเมื่ออ่านคำพิพากษาแล้ว คำพิพากษาก็คงสมบูรณ์ คดีนี้โจทก์ถึงแก่ความตายก่อนอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 แต่ปรากฏต่อศาลหลังอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 แล้ว เมื่อคดีอยู่ระหว่างระยะยื่นฎีกาศาลชั้นต้นย่อมดำเนินกระบวนพิจารณาหาบุคคลเข้ามาเป็นคู่ความแทนที่โจทก์ผู้มรณะ รวมทั้งมีคำสั่งในการที่จะเข้ามาเป็นคู่ความแทนที่ผู้มรณะได้ตามนัยมาตรา 42, 43 และ 44 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง การที่ศาลชั้นต้นมิได้ดำเนินการดังกล่าวเสียก่อนแล้วมีคำสั่งรับฎีกาของโจทก์และจำเลยจึงเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่อาจรับวินิจฉัยฎีกาโจทก์และจำเลยได้”
พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้รับฎีกาโจทก์และจำเลย ให้ศาลชั้นต้นไต่สวนให้ได้ความว่าโจทก์ถึงแก่ความตายจริงหรือไม่ และดำเนินกระบวนพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 42, 43 และ 44 ต่อไป