คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 823/2550

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

ป.พ.พ. มาตรา 1562 บัญญัติว่า ผู้ใดจะฟ้องบุพการีของตนเป็นคดีแพ่งหรือคดีอาญามิได้…” อันเป็นบทบัญญัติตัดสิทธิห้ามมิให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดฟ้องบุพการีของตน จึงต้องแปลความโดยเคร่งครัด เมื่อคดีนี้โจทก์ทั้งสองฟ้องจำเลยที่ 1 โดยระบุว่า โจทก์ทั้งสองเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัท และจำเลยทั้งสามเป็นกรรมการของบริษัท จำเลยทั้งสามอาศัยตำแหน่งหน้าที่ในฐานะเป็นกรรมการของบริษัท ร่วมกันจงใจทำหลักฐานอันเป็นเท็จว่า บริษัทเป็นหนี้เงินกู้ยืมจากกรรมการ เพื่อนำเงินไปใช้เป็นประโยชน์ส่วนตัวทำให้บริษัทได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชดใช้เงินพร้อมด้วยดอกเบี้ยแก่บริษัท โจทก์ทั้งสองจึงฟ้องจำเลยที่ 1 ในฐานะที่โจทก์ทั้งสองเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัท และจำเลยที่ 1 ในฐานะที่เป็นกรรมการของบริษัทดังกล่าวร่วมกันกรรมการอีก 2 คน คือ จำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้ชดใช้เงินให้แก่บริษัท มิได้ให้ชดใช้เงินให้แก่โจทก์ทั้งสองเป็นการส่วนตัว ทั้งจำนวนเงินตามฟ้องหากรับฟังได้ตามที่โจทก์ทั้งสองกล่าวหาก็เป็นเงินของบริษัทมิใช่เงินของจำเลยที่ 1 โจทก์ทั้งสองจึงไม่ต้องห้ามมิให้ฟ้องร้องจำเลยที่ 1

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ทั้งสองฟ้องว่า โจทก์ทั้งสองเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัทที.พี.เอ็น. อินดัสเตรียล จำกัด จำเลยทั้งสามเป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนบริษัทดังกล่าว เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2544 จำเลยที่ 1 ได้พ้นจากการเป็นกรรมการของบริษัท ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2543 ทางบริษัทมียอดเงินกำไรสุทธิจากการดำเนินกิจการ 64,000,000 บาทเศษ ซึ่งจำเลยทั้งสามมีหน้าที่ที่จะต้องนำผลกำไรดังกล่าวมาแจกเป็นเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้น ซึ่งรวมถึงโจทก์ทั้งสอง แต่จำเลยทั้งสามกลับทำหลักฐานเป็นเท็จว่าบริษัทได้กู้ยืมเงินจากจำเลยทั้งสามเท่ากับจำนวนเงินที่บริษัทมียอดผลกำไรซึ่งบริษัทมิได้ดำเนินการเรียกร้องหรือฟ้องร้องจำเลยทั้งสามให้ส่งมอบเงินผลกำไรคืนแก่บริษัท นางศิริพร พฤกษ์สถาพร ในฐานะผู้แทนโดยชอบธรรม จึงยื่นฟ้องจำเลยทั้งสามขอให้ศาลบังคับให้จำเลยทั้งสามชำระเงินผลกำไรจำนวน 64,000,000 บาทเศษ ดังกล่าวคืนให้แก่บริษัทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวนดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าชำระเสร็จแก่บริษัทที.พี.เอ็น. อินดัสเตรียล จำกัด จำเลยทั้งสามให้การและฟ้องแย้งทำนองเดียวกันในหลายประเด็น ประเด็นหนึ่งอ้างว่า จำเลยที่ 1 มีศักดิ์เป็นปู่ของโจทก์ทั้งสองฟ้องของโจทก์ทั้งสองเฉพาะจำเลยที่ 1 จึงเป็นคดีอุทลุม โจทก์ทั้งสองไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1
ระหว่างพิจารณาศาลชั้นต้นเห็นว่า หากได้วินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายว่า โจทก์ทั้งสองมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 หรือไม่ก่อนแล้ว จะทำให้ประเด็นสำคัญแห่งคดีข้อนี้เสร็จสิ้นไปได้ จึงทำการวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นปัญหาดังกล่าวว่าฟ้องของโจทก์ทั้งสองสำหรับจำเลยที่ 1 เป็นคดีอุทลุม โจทก์ทั้งสองไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 พิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งสองเฉพาะจำเลยที่ 1
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาของศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาระหว่างโจทก์ทั้งสองกับจำเลยทั้งสามต่อไป ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษา
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่าจำเลยที่ 1 เป็นปู่ของโจทก์ทั้งสอง คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ว่า โจทก์ทั้งสองต้องห้ามมิให้ฟ้องร้องจำเลยที่ 1 เป็นคดีนี้หรือไม่ เห็นว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1562 บัญญัติว่า “ผู้ใดจะฟ้องบุพการีของตนเป็นคดีแพ่งหรือคดีอาญามิได้…” อันเป็นบทบัญญัติตัดสิทธิห้ามมิให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดฟ้องบุพการีของตน จึงต้องแปลความโดยเคร่งครัด เมื่อคดีนี้โจทก์ทั้งสองฟ้องจำเลยที่ 1 โดยระบุว่า โจทก์ทั้งสองเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัท ที.พี.เอ็น. อินดัสเตรียล จำกัด จำนวนคนละ 3,000 หุ้น และจำเลยทั้งสามเป็นกรรมการของบริษัทดังกล่าวเมื่อระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2539 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2543 จำเลยทั้งสามอาศัยตำแหน่งหน้าที่ในฐานะเป็นกรรมการของบริษัท ร่วมกันจงใจทำหลักฐานอันเป็นเท็จว่า บริษัทเป็นหนี้เงินกู้ยืมจากกรรมการนับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2539 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2543 รวมเป็นเงิน 64,120,132.28 บาท เท่ากับยอดเงินผลกำไรสุทธิจากการดำเนินกิจการของบริษัททั้งสิ้น ซึ่งจำเลยทั้งสามมีหน้าที่ต้องนำเงินจำนวนดังกล่าวมาแจกเป็นเงินปันผลแก่ผู้ถือหุ้น และจัดสรรเป็นทุนสำรองของบริษัทแต่จำเลยทั้งสามกระทำการดังกล่าว เพื่อนำเงินไปใช้เป็นประโยชน์ส่วนตัวทำให้บริษัทได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชดใช้เงินจำนวน 64,120,132.28 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่บริษัท ที.พี.เอ็น. อินดัสเตรียล จำกัด โจทก์ทั้งสองจึงฟ้องจำเลยที่ 1 ในฐานะที่โจทก์ทั้งสองเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัท ที.พี.เอ็น. อินดัสเตรียล จำกัด และจำเลยที่ 1 ในฐานะที่เป็นกรรมการของบริษัทดังกล่าวร่วมกับกรรมการอีก 2 คน คือ จำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้ชดใช้เงินให้แก่บริษัท มิได้ให้ชดใช้เงินให้แก่โจทก์ทั้งสองเป็นการส่วนตัว ทั้งจำนวนเงินตามฟ้อง หากรับฟังได้ตามที่โจทก์ทั้งสองกล่าวหาก็เป็นเงินของบริษัทมิใช่เงินของจำเลยที่ 1 โจทก์ทั้งสองจึงไม่ต้องห้ามมิให้ฟ้องร้องจำเลยที่ 1 ตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share