คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 881/2517

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้หนีภาษีอากรจะเป็นหนี้บุริมสิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ แต่พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 ซึ่งเป็นกฎหมายพิเศษและบัญญัติขึ้นภายหลังได้กำหนดลำดับสิทธิในการที่เจ้าหนี้จะได้รับชำระหนี้ไว้ตามมาตรา 130 จึงเป็นข้อยกเว้นจากประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ซึ่งเป็นกฎหมายทั่วไป ในการขอรับชำระหนี้ภาษีอากร จึงต้องถือตามพระราชบัญญัตินี้เป็นสำคัญ
ภาษีอากรถึงกำหนดชำระภายใน 6 เดือน ก่อนมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ตามพระราชบัญญัติล้มละลายฯ มาตรา 130(6) นั้นคือ ภาษีอากรที่ถึงกำหนดชำระระหว่าง 6 เดือน ก่อนมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์นั่นเอง มิได้รวมถึงภาษีอากรที่ได้ถึงกำหนดชำระเกินกว่า 6 เดือนก่อนวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์แต่อย่างใด หนี้ภาษีการค้าที่ลูกค้าติดค้างอยู่ถึงกำหนดชำระเกินกว่า 6 เดือนก่อนวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ เจ้าหนี้จึงไม่มีสิทธิขอรับชำระหนี้ตามมาตรา 130(6) คงมีสิทธิที่จะได้รับชำระหนี้ตามมาตรา 130(8) เท่านั้น
ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 84, 85 ทวิ กำหนดให้ผู้ประกอบการค้ายื่นแบบแสดงรายการการค้าแต่ละเดือนภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไปมาตรา 86 กำหนดให้ผู้มีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการการค้าชำระภาษีภายในกำหนดเวลาตามมาตรา 85 ทวิ และมาตรา 89 ทวิ วรรคสามบัญญัติว่า การคำนวณเงินเพิ่ม ฯลฯ ให้เริ่มนับเมื่อพ้นสิบห้าวันถัดจากเดือนภาษี ซึ่งหมายความว่าเงินเพิ่มนั้นจะเริ่มคิดคำนวณทันทีหลังจากที่ลูกหนี้ไม่ชำระภาษีการค้าภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป หาใช่นับแต่ภายหลังที่เจ้าหนี้ได้แจ้งการประเมินภาษีไปยังลูกหนี้ แล้วลูกหนี้ไม่ชำระภาษีภายในกำหนด 30 วัน นับแต่เจ้าหนี้แจ้งการประเมินไม่ ฉะนั้นแม้เจ้าหนี้เพิ่งแจ้งการประเมินภายหลังจากศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้แล้ว ลูกหนี้ก็ยังคงต้องรับผิดในเงินเพิ่มดังกล่าว
ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 89 ตรี บัญญัติว่า เบี้ยปรับและเงินเพิ่มให้ถือว่าเป็นเงินภาษี และมาตรา 89 ทวิ บัญญัติให้เสียเงินเพิ่มร้อยละ 1 ต่อเดือน หรือเศษของเดือนของเงินภาษีที่ต้องชำระ ฉะนั้น เงินเพิ่มที่เจ้าหนี้ขอรับชำระหนี้จึงต้องแยกพิจารณาเป็น 2 ตอน เงินเพิ่มสำหรับระยะเวลา 6 เดือนก่อนศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ รวมทั้งภาษีบำรุงเทศบาล เจ้าหนี้มีสิทธิได้รับชำระหนี้ตามพระราชบัญญัติล้มละลายฯ มาตรา 130(6) ส่วนเงินเพิ่มและภาษีบำรุงเทศบาลที่ถึงกำหนดชำระเกินกว่า 6 เดือน อยู่ในลำดับที่จะได้รับชำระหนี้ตามมาตรา 130(8)

ย่อยาว

คดีนี้ กรมสรรพากรยื่นคำขอรับชำระหนี้ค่าภาษีอากรค้างเป็นเงิน16,834.49 บาท

เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สอบสวนแล้วทำความเห็นเสนอศาล เห็นควรให้กรมสรรพากรเจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้เป็นเงิน 14,450.21 บาท จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ตามมาตรา 130(8) ประกอบมาตรา 107(3)แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 ส่วนที่ขอเกินมาเห็นควรให้ยกเสีย ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเห็นชอบด้วย

กรมสรรพากรเจ้าหนี้อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ เป็นว่าให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้จำนวน16,400.99 บาท จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 มาตรา 130(8) และให้ได้รับชำระหนี้จำนวน 433.50 บาทตามมาตรา 130(6)

กรมสรรพากรเจ้าหนี้และเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ฎีกา

ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ลูกหนี้เป็นผู้ประกอบการค้า มีหน้าที่ต้องยื่นแบบแสดงรายการการค้าเพื่อเสียภาษี เมื่อเดือนเมษายนและเดือนพฤษภาคม 2509 ลูกหนี้นำพลาสติกแผ่นเข้ามาในราชอาณาจักรในเดือนทั้งสองดังกล่าวรวมเป็นรายรับทั้งสิ้น 131,365.65 บาทแต่ลูกหนี้มิได้นำรายรับนั้นไปรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีการค้า จึงเป็นการยื่นแบบแสดงรายการการค้าไว้ไม่ถูกต้อง ทำให้จำนวนเงินภาษีที่ต้องเสียคลาดเคลื่อน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเห็นชอบตามความเห็นของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ว่า เจ้าหนี้มีสิทธิได้รับชำระหนี้ค่าภาษีอากรเฉพาะค่าภาษีร้อยละ 5 ของรายรับกับเบี้ยปรับตามมาตรา 89(3)แห่งประมวลรัษฎากร อีกหนึ่งเท่าของจำนวนภาษีพร้อมทั้งต้องชำระภาษีบำรุงเทศบาลอีกด้วย รวมเป็นภาษีที่จะต้องชำระทั้งสิ้น 14,450.21 บาท

ประเด็นในชั้นฎีกามีว่า

(1) เจ้าหนี้มีสิทธิได้รับชำระหนี้เงินเพิ่มตามประมวลรัษฎากรมาตรา 89 ทวิ อีกเป็นเงิน 2,167.53 บาท หรือไม่

(2) หนี้ที่ขอรับชำระทั้งหมดเป็นหนี้ที่จะได้รับชำระในลำดับข้อ (6) หรือข้อ (8) ในมาตรา 130 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483

ประเด็นข้อแรก ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 84และมาตรา 85 ทวิ กำหนดให้ผู้ประกอบการค้ายื่นแบบแสดงรายการการค้าแต่ละเดือนภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป และมาตรา 86 กำหนดให้ผู้มีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการการค้าชำระภาษีภายในกำหนดเวลาตามมาตรา 85ทวิ แต่ลูกหนี้มิได้ชำระค่าภาษีการค้าสำหรับพลาสติกแผ่นที่ลูกหนี้นำเข้ามาในราชอาณาจักรสำหรับเดือนเมษายนและพฤษภาคม 2509 ภายในวันที่ 15 พฤษภาคม และ 15 มิถุนายน 2509 ตามลำดับ ฉะนั้น ลูกหนี้จึงต้องเสียเงินเพิ่มอีกร้อยละหนึ่งต่อเดือนหรือเศษของเดือนของเงินภาษีที่ต้องชำระ ตามมาตรา 89 ทวิ และตามมาตรา 89 ทวิ วรรค 3 บัญญัติว่า “การคำนวณเงินเพิ่ม ฯลฯ ให้เริ่มนับเมื่อพ้นสิบห้าวันถัดจากเดือนภาษี” หมายความว่าเงินเพิ่มร้อยละหนึ่งดังกล่าวข้างต้น จะเริ่มคิดคำนวณทันทีหลังจากที่ลูกหนี้ไม่ชำระภาษีการค้าภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป หาใช่นับแต่ภายหลังที่เจ้าหนี้ได้แจ้งการประเมินภาษีไปยังลูกหนี้ แล้วลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ภาษีภายในกำหนด 30 วันนับแต่เจ้าหนี้แจ้งการประเมินมาดังที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ฎีกาขึ้นมาไม่ ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้เงินเพิ่มจำนวน2,167.53 บาท พร้อมกับภาษีบำรุงเทศบาลอีกร้อยละสิบ รวมเป็นเงินที่เจ้าหนี้มีสิทธิขอรับชำระหนี้ทั้งสิ้น 16,834.49 บาท เต็มตามคำขอเป็นการชอบแล้ว

ประเด็นข้อ 2 ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า หนี้ภาษีอากรนั้น แม้จะเป็นหนี้บุริมสิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ก็ตาม แต่เมื่อพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 ซึ่งเป็นกฎหมายพิเศษและบัญญัติขึ้นภายหลัง ได้กำหนดลำดับสิทธิในการที่เจ้าหนี้จะได้รับชำระหนี้ไว้ตามมาตรา 130 อย่างไรแล้วจึงเป็นข้อยกเว้นจากประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งเป็นบทกฎหมายทั่วไป และต้องถือตามบทบัญญัติในพระราชบัญญัตินั้นเป็นสำคัญ มาตรา 130 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวบัญญัติไว้ดังนี้

“มาตรา 130 ในการแบ่งทรัพย์สินให้แก่เจ้าหนี้นั้น ให้ชำระค่าใช้จ่ายและหนี้สินตามลำดับดังต่อไปนี้

ฯลฯ

(6) ค่าภาษีอากรและจังกอบที่ถึงกำหนดชำระภายใน 6 เดือนก่อนมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์

ฯลฯ

(8) หนี้อื่น ๆ

ฯลฯ”

ศาลฎีกาเห็นว่า ภาษีอากรถึงกำหนดชำระภายใน 6 เดือน ก่อนมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ตามอนุมาตรา 6 แห่งมาตรา 130 นั้น คือภาษีอากรที่ถึงกำหนดชำระระหว่างหกเดือนก่อนมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์นั่นเองมิได้รวมถึงภาษีอากรที่ได้ถึงกำหนดชำระเกินกว่าหกเดือนก่อนมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์แต่อย่างใด ข้อเท็จจริงในคดีนี้ฟังได้เป็นยุติแล้วว่า ลูกหนี้ได้นำพลาสติกแผ่นเข้ามาในราชอาณาจักรเมื่อเดือนเมษายนและพฤษภาคม 2509 รวมเป็นรายรับทั้งสิ้น 131,365 บาท 65 สตางค์แต่ลูกหนี้มิได้นำรายรับนั้นไปร่วมคำนวณเพื่อเสียภาษีการค้า ซึ่งจะต้องเสียเป็นเงินรวม 6,568.28 บาท หนี้ภาษีการค้าที่ลูกหนี้ติดค้างอยู่จำนวนดังกล่าวได้ถึงกำหนดชำระตั้งแต่วันที่ 15 พฤษภาคม และ15 มิถุนายน 2509 แต่ลูกหนี้ไม่ได้ชำระ จึงต้องเสียเบี้ยปรับและภาษีเทศบาล ซึ่งเมื่อรวมทั้งหมดแล้วเป็นเงิน 14,450.21 บาท เมื่อนับระยะเวลาตั้งแต่หนี้จำนวนดังกล่าวถึงกำหนดชำระจนถึงวันที่ 23ธันวาคม 2511 อันเป็นวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์แล้ว จึงเป็นเวลาเกินกว่า 6 เดือน เจ้าหนี้จึงไม่มีสิทธิที่จะขอรับชำระหนี้จำนวนดังกล่าวตามมาตรา 130(6) แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483เจ้าหนี้คงมีสิทธิที่จะได้รับชำระหนี้จำนวน 14,450.21 บาท ตามมาตรา 130(8) เท่านั้น ศาลล่างทั้งสองพิพากษาชอบแล้ว

ส่วนเงินเพิ่มและภาษีบำรุงเทศบาลรวมเป็นเงิน 2,384.28 บาทนั้นเนื่องจากประมวลรัษฎากร มาตรา 89 ตรี ได้บัญญัติว่าเบี้ยปรับและเงินเพิ่มให้ถือเป็นเงินภาษี และตามมาตรา 89 ทวิ ได้บัญญัติให้เสียเงินเพิ่มร้อยละ 1 ต่อเดือน หรือเศษของเดือนของเงินภาษีที่ต้องชำระฉะนั้น เงินเพิ่มนี้จึงต้องแยกพิจารณาเป็น 2 ตอน คือ เป็นเงินเพิ่มที่ถึงกำหนดชำระเกินกว่า 6 เดือน ก่อนมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ตอนหนึ่งส่วนอีกตอนหนึ่งคือถึงกำหนดชำระภายใน 6 เดือน ก่อนมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ เงินเพิ่มสำหรับระยะเวลา 6 เดือน ก่อนศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ รวมทั้งภาษีบำรุงเทศบาล คำนวณแล้วเป็นเงิน 433.50 บาทเจ้าหนี้จึงมีสิทธิขอรับชำระหนี้ได้ตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 มาตรา 130(6) ส่วนเงินเพิ่มและภาษีบำรุงเทศบาลที่เหลืออยู่อีกจำนวน 1,950.78 บาทนั้น เป็นหนี้ภาษีอากรที่ถึงกำหนดชำระเกินกว่าหกเดือนก่อนมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ จึงอยู่ในลำดับที่จะได้รับชำระหนี้ตามมาตรา 130(8) แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483

พิพากษายืน

Share