แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
การที่จำเลยกับพวกร่วมกันวางแผนโดยใช้โฉนดที่ดินพิพาทปลอมที่มีรอยตราปลอมประทับอยู่ ไปแลกเอาโฉนดที่ดินพิพาทฉบับจริงของผู้เสียหายมาอันเป็นการเอาไปเสียซึ่งเอกสารและลักทรัพย์โดยใช้กลอุบาย แล้วนำโฉนดที่ดินพิพาทฉบับจริงพร้อมหนังสือมอบอำนาจปลอมของผู้เสียหายไปใช้แสดงต่อเจ้าพนักงานที่ดิน การกระทำทั้งหมดล้วนมีจุดประสงค์เพียงอย่างเดียว คือ การทำให้สามารถขายหรือขายฝากที่ดินพร้อมอาคารของผู้เสียหายเท่านั้น การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำความผิดกรรมเดียวแต่ผิดต่อกฎหมายหลายบท
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 83, 91, 188, 251, 252, 264, 265, 266, 268, 335 และริบโฉนดที่ดินและหนังสือมอบอำนาจปลอมของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 188, 251, 252, 264, 265, 266 (1), 268 วรรคแรก, 335 (7) วรรคแรก ประกอบด้วยมาตรา 83 การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานปลอมเอกสารสิทธิ อันเป็นเอกสารราชการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 266 (1) ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 266 (1) แต่เพียงกระทงเดียวตามมาตรา 268 วรรคสอง จำคุก 4 ปี ริบโฉนดที่ดินและหนังสือมอบอำนาจของกลาง คำขออื่นให้ยก
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดฐานร่วมกันใช้เอกสารปลอมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 264 วรรคแรกและมาตรา 83 จำคุก 2 ปี ข้อหาอื่นให้ยก นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้ว โจทก์และจำเลยต่างฎีกา จำเลยฎีกาเป็น 2 ประการ ประการแรกขอให้ยกฟ้องข้อหาความผิดฐานใช้ใบมอบอำนาจปลอมตามเอกสารหมาย จ. 7 เสียด้วย เพราะพยานหลักฐานของโจทก์ยังเป็นที่สงสัยว่าจำเลยกระทำความผิดฐานนี้หรือไม่ และประการที่สองขอให้รอการลงโทษแก่จำเลย อันเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงเป็นฎีกาที่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง เพราะศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาจำคุกจำเลย 2 ปี ซึ่งไม่เกิน 5 ปี ในความผิดฐานนี้ ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยฎีกาของจำเลย
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการแรกมีว่า นอกจากความผิดฐานใช้เอกสารใบมอบอำนาจตามเอกสารหมาย จ.7 อันเป็นเอกสารปลอมแล้ว จำเลยได้กระทำความผิดอื่นตามฟ้องหรือไม่ ปัญหานี้ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติในชั้นฎีกาว่า ผู้เสียหายเป็นเจ้าของที่ดินและอาคารพิพาททั้งสองคือที่ดินโฉนดเลขที่ 20318 และ 20319 และอาคารเลขที่ 83/4 และ 83/5 ตำบลระแหง อำเภอลาดหลุมแก้ว จังหวัดปทุมธานี ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้องมีคนร้ายร่วมกันปลอมดวงตราเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดปทุมธานีและดวงตราสำนักงานที่ดินจังหวัดปทุมธานี ปลอมโฉนดที่ดินพิพาททั้งสองฉบับ โดยประทับดวงตราเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดปทุมธานีปลอมและดวงตราสำนักงานที่ดินจังหวัดปทุมธานีปลอมลงบนโฉนดที่ดินพิพาทที่ปลอมขึ้นตามโฉนดที่ดินปลอมเอกสารหมาย จ. 1 และ จ. 2 และปลอมหนังสือมอบอำนาจว่าผู้เสียหายมอบอำนาจให้นางทิวา ขายที่ดินพร้อมอาคารพิพาทตามสำเนาหนังสือมอบอำนาจปลอมเอกสารหมาย จ .7 แล้วนำโฉนดที่ดินพิพาทปลอมไปสับเปลี่ยนแลกเอาโฉนดที่ดินพิพาทจริงจากผู้เสียหาย วันที่ 30 มิถุนายน 2541 คนร้ายร่วมกันยื่นคำขอจดทะเบียนขายฝากที่ดินพร้อมอาคารพิพาทแก่นายณรงค์ แต่เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดปทุมธานีไม่ยอมดำเนินการให้เพราะลายมือชื่อผู้มอบอำนาจตามหนังสือมอบอำนาจไม่เหมือนกับที่ทางสำนักงานมีเก็บไว้ พร้อมทั้งยึดเอกสารที่คนร้ายนำมายื่นไว้รวมทั้งหนังสือมอบอำนาจปลอมตามเอกสารหมาย จ.7 วันที่ 6 สิงหาคม 2541 ผู้เสียหายแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน วันที่ 7 สิงหาคม 2541 เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยที่บริเวณที่ดินและอาคารพิพาท และตรวจค้นพบสำเนาใบอนุญาตก่อสร้างอาคารพิพาทตามเอกสารหมาย จ.6 ในรถยนต์ที่จำเลยโดยสารมา สำหรับความผิดฐานปลอมดวงตราและรอยตราเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดปทุมธานีและสำนักงานที่ดินจังหวัดปทุมธานี รวมทั้งการใช้ดวงตราที่ปลอมขึ้นดังกล่าวประทับลงบนโฉนดที่ดินพิพาทปลอม ปลอมโฉนดที่ดินพิพาททั้งสองฉบับ และปลอมหนังสือมอบอำนาจ ทางนำสืบของโจทก์ไม่มีพยานคนใดเห็นว่าจำเลยปลอมหรือร่วมกับผู้อื่นปลอม หรือมีพฤติการณ์ใด ๆ ที่ส่อแสดงให้เห็นว่าจำเลยกระทำการหรือร่วมกับผู้ใดกระทำการดังกล่าว ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ยกฟ้องในความผิดฐานนี้เพราะพยานหลักฐานของโจทก์รับฟังไม่ได้จึงชอบแล้ว ส่วนความผิดข้อหาการใช้โฉนดที่ดินพิพาทปลอมซึ่งมีรอยตราเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดปทุมธานีและสำนักงานที่ดินจังหวัดปทุมธานีปลอมประทับอยู่ สามารถวินิจฉัยไปพร้อมกันได้แต่เห็นสมควรวินิจฉัยหลังจากวินิจฉัยความผิดข้อหาเอาไปเสียซึ่งเอกสารและลักทรัพย์คือโฉนดที่ดินพิพาทจริงทั้งสองฉบับเสียก่อนความผิดข้อหาเอาไปเสียและลักโฉนดที่ดินพิพาท โจทก์มีตัวผู้เสียหายและนางสาวสมพร ซึ่งทำหน้าที่แม่บ้านอยู่กับผู้เสียหายในช่วงเกิดเหตุ เบิกความทำนองเดียวกันว่า กลุ่มคนร้ายมาหาผู้เสียหายรวม 4 ครั้ง ครั้งแรกประมาณต้นเดือนเมษายน 2541 นายสุวรรณมาเพียงคนเดียว สอบถามและต่อรองราคาที่ดินและอาคารพิพาท ซึ่งผู้เสียหายกำหนดราคารวม 7,500,000 บาท นายสุวรรณขอสำเนาโฉนดที่ดินพิพาทเพื่อนำไปปรึกษากับหุ้นส่วน ต่อมาอีก 7 วัน นายสุวรรณมาคนเดียวอีกครั้งหนึ่ง ขอต่อรองให้ลดราคาลงผู้เสียหายยืนยันที่ราคาเดิม นายสุวรรณขอดูต้นฉบับโฉนดที่ดินพิพาทและขอสำเนาไปอีกต่อจากนั้นอีกประมาณ 10 วัน นายสุวรรณมาพร้อมกับนายธวัช แนะนำว่านายธวัชเป็นหัวหน้าสินเชื่อธนาคารอาคารสงเคราะห์ สำนักงานใหญ่ ร่วมกันแจ้งแก่ผู้เสียหายว่า ทางธนาคารได้อนุมัติให้นายสุวรรณและหุ้นส่วนกู้เงินแล้ว ได้ให้นายธวัชมาตรวจดูความเรียบร้อยของโฉนดที่ดิน ผู้เสียหายจึงนำโฉนดที่ดินพิพาทให้ตรวจดูทั้งด้านหน้าด้านหลัง ทั้งสองคนได้ขอเอกสารเพิ่มเติมไปคือ สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน สำเนาทะเบียนบ้าน และใบสำคัญการหย่าของผู้เสียหาย และครั้งสุดท้ายประมาณปลายเดือนเมษายนหรือต้นเดือนพฤษภาคม 2541 นายสุวรรณและนายธวัชมาพร้อมกับจำเลยและนางเก๋ นายสุวรรณแนะนำว่าจำเลยกับนางเก๋คือหุ้นส่วนที่จะซื้อที่ดินและอาคารพิพาท แต่ต้องขอเอกสารที่เกี่ยวข้องใหม่ทั้งหมดรวมทั้งใบอนุญาตให้ก่อสร้างอาคาร ผู้เสียหายจึงนำเอกสารที่เกี่ยวข้องทั้งหมดรวมทั้งโฉนดที่ดินพิพาทให้นางสาวสมพรไปพร้อมกับจำเลยและนางเก๋ ใช้รถยนต์ของจำเลยไปถ่ายเอกสารที่ร้านในตลาดตำบลระแหง เมื่อได้เอกสารมาแล้วได้ให้ผู้เสียหายลงชื่อรับรองสำเนาเอกสารทั้งหมด โดยจำเลยกับพวกตกลงที่จะโอนเงินมาให้ จำเลยกับนายสุวรรณโทรศัพท์มาหาผู้เสียหายอีก 1 ครั้ง แล้วก็ไม่ติดต่อมาอีกเลย ผู้เสียหายมาทราบว่าโฉนดที่ดินถูกสับเปลี่ยนเมื่อมีบุคคลอื่นมาขอดูโดยสนใจจะซื้อที่ดินและอาคารพิพาทจึงนำไปให้เจ้าพนักงานที่ดินที่สำนักงานที่ดินจังหวัดปทุมธานีตรวจสอบ ปรากฏว่าเป็นโฉนดที่ดินปลอม ได้ไปแจ้งความต่อพันตำรวจโทสมบัติ พนักงานสอบสวน นายศรายุทธ เจ้าหน้าที่บริหารที่ดินสำนักงานที่ดินจังหวัดปทุมธานีเบิกความว่า รู้จักจำเลยดีเพราะจำเลยมาติดต่อที่สำนักงานที่ดินเป็นประจำ จำเลยเคยนำโฉนดที่ดินจริงสองฉบับของผู้เสียหาย ซึ่งตรงกับโฉนดที่ดินพิพาทปลอมตามเอกสารหมาย จ.1 และ จ.2 พร้อมทั้งสำเนาบัตรประจำตัวประชาชน สำเนาทะเบียนบ้าน และหนังสือมอบอำนาจของผู้เสียหายมาให้พยานตรวจสอบเพื่อจะขายที่ดินดังกล่าว พยานตรวจสอบแล้วเห็นว่าลายมือชื่อของผู้มอบอำนาจคือผู้เสียหายไม่คล้ายกับลายมือชื่อที่ทางสำนักงานที่ดินมีอยู่ จึงมิได้ดำเนินการให้ ได้คืนเอกสารทั้งหมดให้แก่จำเลย ต่อมาจำเลยกับพวกมาอีก แต่ครั้งนี้นำเอกสารทั้งหมดไปยื่นต่อประชาสัมพันธ์ของสำนักงาน พยานจึงแจ้งให้หัวหน้าส่วนที่เกี่ยวข้องทราบว่าจำเลยเคยมาแล้ว หนังสือมอบอำนาจมีปัญหาควรตรวจสอบให้ดี เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องตรวจสอบแล้วมีความเห็นเช่นเดียวกับพยาน จึงได้ยึดเอกสารทั้งหมดไว้ ต่อมาเจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยได้ ได้ให้พยานไปดูตัวจำเลย พยานจำจำเลยได้ ส่วนโฉนดที่ดินพิพาทของกลางตามเอกสารหมาย จ.1 และ จ.2 พยานดูแล้วยืนยันว่าเป็นการปลอมทั้งฉบับ เห็นว่า ผู้เสียหายและนางสมพรเบิกความทำนองเดียวกันว่าสองครั้งแรกที่นายสุวรรณมาคนเดียว กับครั้งที่สามที่นายสุวรรณมากับนายธวัช แม้ทั้งสามครั้งบุคคลทั้งสองจะมีการขอสำเนาเอกสารโฉนดที่ดินพิพาท และผู้เสียหายได้มอบให้ไปนั้น ตลอดเวลาของการขอสำเนาโฉนดที่ดินตลอดจนการตรวจดูโฉนดที่ดินพิพาทฉบับจริงอยู่ในสายตาของผู้เสียหายอยู่ตลอดเวลา คงมีแต่ครั้งสุดท้ายคือครั้งที่สี่ที่จำเลยและนางเก๋มาด้วย ที่มีการนำโฉนดที่ดินพิพาทออกไปถ่ายเอกสารที่ตลาดตำบลระแหง หลังจากนั้นไม่มีผู้ใดเข้ามาเกี่ยวข้องกับโฉนดที่ดินพิพาทอีก จนกระทั่งมีชายหญิงคู่หนึ่งสนใจจะมาซื้อที่ดินและอาคารพิพาทและขอดูโฉนด ผู้เสียหายจึงทราบว่าโฉนดที่ดินพิพาทที่มีอยู่กลายเป็นฉบับปลอมตามเอกสารหมาย จ.1 และ จ.2 แสดงว่าโฉนดที่ดินพิพาทฉบับจริงและฉบับปลอมตามเอกสารหมาย จ.1 และ จ.2 เพิ่งจะมีการสับเปลี่ยนในครั้งสุดท้ายที่นายสุวรรณ นายธวัช จำเลยและนางเก๋มาด้วยกัน โดยทั้งสี่คนมีการวางแผนร่วมกันให้นายสุวรรณและนายธวัชมาขอสำเนาโฉนดที่ดินพิพาทไปก่อนเพื่อนำไปทำฉบับปลอม ต่อเมื่อได้ทำฉบับปลอมเสร็จแล้วจึงนำมาสับเปลี่ยนในครั้งสุดท้าย โดยมากันทั้งสี่คนเพื่อแบ่งหน้าที่กันทำเพื่อให้การสับเปลี่ยนง่ายขึ้นเนื่องจากในช่วงนั้นผู้เสียหายก็คงเริ่มไว้วางใจนายสุวรรณแล้ว เพราะมาหลายครั้งและยืนยันรวมทั้งแสดงท่าทางว่าตั้งใจจะซื้อจริง หลังจากจำเลยมากับนายสุวรรณพร้อมด้วยนายธวัชและนางเก๋ในครั้งสุดท้ายแล้ว มีผู้ที่พบจำเลยครอบครองโฉนดที่ดินพิพาทฉบับจริงทั้งสองฉบับคือนายศรายุทธ เจ้าหน้าที่บริหารที่ดินสำนักงานที่ดินจังหวัดปทุมธานีที่เบิกความยืนยันว่าเห็นจำเลยนำโฉนดที่ดินพิพาทฉบับจริงทั้งสองฉบับมาติดต่อกับสำนักงานที่ดินดังกล่าวถึง 2 ครั้ง นอกจากนี้โจทก์ยังมีนายกฤษณะ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 1 ตำบลระแหง อำเภอลาดหลุมแก้ว จังหวัดปทุมธานี และพันตำรวจโทสมบัติ พนักงานสอบสวนเบิกความเป็นอย่างเดียวกันว่า เมื่อพันตำรวจโทสมบัติได้รับแจ้งความจากผู้เสียหายและได้หมายเลขโทรศัพท์จำเลยจากผู้เสียหายแล้ว ได้ติดต่อนายกฤษณะให้ช่วยกันวางแผนจับกุมจำเลย โดยให้นายกฤษณะโทรศัพท์ไปหาจำเลย ทำทีว่าสนใจจะซื้อที่ดินและอาคารพิพาท นัดหมายพบกัน ณ ที่ดินและอาคารพิพาท ซึ่งจำเลยก็มาตามนัดและเป็นผู้นำนายกฤษณะชมอาคารพิพาท โดยเข้าทางประตูด้านหลัง ผู้เสียหายซึ่งแอบซุ่มอยู่กับพันตำรวจโทสมบัติในอาคารดังกล่าว เห็นจำเลยแล้วจำได้จึงชี้ตัวให้จับกุมเห็นว่า ทั้งนายกฤษณะ พันตำรวจโทสมบัติ ผู้เสียหายและนางสาวสมพร ต่างไม่เคยรู้จักจำเลยมาก่อน ไม่มีเหตุที่จะให้ระแวงสงสัยว่าจะช่วยกันเบิกความปรักปรำใส่ร้ายจำเลยด้วยเหตุใด ส่วนนายศรายุทธ แม้เคยรู้จักจำเลยมาก่อนก็ไม่ปรากฏสาเหตุโกรธเคืองกัน แต่กลับมีลักษณะที่ดีต่อกัน น่าเชื่อว่าพยานโจทก์เหล่านี้เบิกความไปตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น พฤติการณ์แห่งคดีจึงฟังได้ว่า แม้ไม่มีประจักษ์พยานโจทก์รู้เห็นโดยตรงว่าจำเลยร่วมกับพวกลักโฉนดที่ดินพิพาทฉบับจริง แต่พยานแวดล้อมที่ใกล้ชิดเหตุการณ์สอดคล้องต่อเนื่องเชื่อมโยงกันเชื่อได้ว่า จำเลยกับพวกนำโฉนดที่ดินพิพาทฉบับปลอมตามเอกสารหมาย จ.1 และ จ.2 มาสับเปลี่ยนกับฉบับจริงของผู้เสียหายในวันที่จำเลย นางเก๋ นายสุวรรณและนายธวัชมาบ้านผู้เสียหายในครั้งที่สี่เพราะมิฉะนั้นจำเลยก็คงจะไม่สามารถครอบครองโฉนดที่ดินพิพาทฉบับจริงหลังจากวันนั้นได้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการร่วมกับพวกเอาไปเสียและลักโฉนดที่ดินพิพาททั้งสองฉบับของผู้เสียหายโดยวิธีการใช้อุบาย ส่วนที่จำเลยนำสืบต่อสู้ว่า จำเลยไม่เคยรู้จักผู้เสียหาย นางจุฑามาศหรือเก๋เป็นผู้นำโฉนดที่ดินพิพาทฉบับจริงทั้งสองฉบับของผู้เสียหายมาให้จำเลยช่วยหาผู้ซื้อให้ ต่อมามีนางอ้อยซึ่งอ้างว่าได้หมายเลขโทรศัพท์ของจำเลยจากนางเก๋โทรศัพท์มาหาจำเลยว่าสนใจจะซื้อที่ดินและอาคารพิพาท โดยผู้ที่จะซื้อชื่อนายสมบัติ จำเลยจึงโทรศัพท์ติดต่อผู้เสียหาย นัดหมายพบกันที่หน้าที่ดินและอาคารพิพาท เมื่อจำเลยไปถึงสถานที่ดังกล่าวก็ถูกจับกุม คงมีแต่ตัวจำเลยคนเดียวเบิกความ ไม่มีพยานหลักฐานอื่นใดสนับสนุน นางเก๋และนางอ้อย จำเลยก็มิได้นำมาสืบ จึงเป็นคำเบิกความลอย ๆ ที่ไม่น่าเชื่อถือ ไม่มีน้ำหนักพอที่จะฟังหักล้างพยานโจทก์ได้ พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักมั่นคง รับฟังได้โดยปราศจากสงสัยว่าจำเลยร่วมกับพวกเอาไปเสียและลักเอาโฉนดที่ดินพิพาทฉบับจริงทั้งสองฉบับของผู้เสียหายไปโดยวิธีการใช้กลอุบาย นำเอาโฉนดที่ดินพิพาทฉบับปลอมตามเอกสารหมาย จ.1 และ จ.2 มาสับเปลี่ยนไว้ และเมื่อฟังได้ว่าจำเลยร่วมกับพวกนำโฉนดที่ดินพิพาทปลอมตามเอกสารหมาย จ.1 และ จ.2 มาสับเปลี่ยนกับฉบับจริง ย่อมเป็นการใช้เอกสารปลอมที่มีรอยตราปลอมของเจ้าพนักงานที่ดินและของสำนักงานที่ดินจังหวัดปทุมธานีประทับอยู่ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหาย เจ้าพนักงานที่ดินและสำนักงานที่ดินจังหวัดปทุมธานีหรือประชาชน และโฉนดที่ดินเป็นเอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 188, มาตรา 252 ประกอบมาตรา 251, มาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 266 (1) และมาตรา 335 (7) วรรคแรก ประกอบมาตรา 83 ฎีกาของโจทก์ในความผิดทั้งสี่ฐานนี้ฟังขึ้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์อีกประการหนึ่งว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดกี่กรรม เห็นว่า การที่จำเลยกับพวกร่วมกันวางแผนโดยใช้โฉนดที่ดินพิพาทปลอมที่มีรอยตราปลอมประทับอยู่ตามเอกสารหมาย จ.1 และ จ.2 ไปแลกเอาโฉนดที่ดินพิพาทฉบับจริงของผู้เสียหายมาอันป็นการเอาไปเสียซึ่งเอกสารและลักทรัพย์โดยใช้กลอุบาย แล้วนำโฉนดที่ดินพิพาทฉบับจริงพร้อมหนังสือมอบอำนาจปลอมของผู้เสียหายตามเอกสารหมาย จ.7 ไปใช้แสดงต่อเจ้าพนักงานที่ดินสำนักงานที่ดินจังหวัดปทุมธานี การกระทำทั้งหมดล้วนมีจุดประสงค์เพียงอย่างเดียวคือ การทำให้สามารถขายหรือขายฝากที่ดินพร้อมอาคารพิพาทของผู้เสียหายเท่านั้น การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำความผิดกรรมเดียวแต่ผิดต่อกฎหมายหลายบท ต้องใช้กฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดลงโทษแก่จำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 อันได้แก่ ความผิดฐานใช้โฉนดที่ดินซึ่งเป็นเอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการปลอม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 266 (1) กรณีไม่ใช่เป็นความผิดหลายกรรมดังที่โจทก์ฎีกา ฎีกาข้อนี้ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
สำหรับโทษที่จะลงแก่จำเลยนั้น เห็นว่า จำเลยร่วมกระทำความผิดกันหลายคน มีการวางแผนแบ่งหน้าที่กันทำ มีลักษณะเป็นกระบวนการที่เป็นภัยต่อสุจริตชนทั้งหลายที่ประสงค์จะซื้อขายที่ดินกันตามปกติ จึงเห็นสมควรลงโทษจำคุก 4 ปี
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 188, มาตรา 252 ประกอบมาตรา 251, มาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 264, มาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 266 (1), มาตรา 335 (7) วรรคแรก ประกอบมาตรา 83 การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานใช้เอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการปลอมตามมาตรา 268 วรรคแรกประกอบมาตรา 266 (1) อันเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 วางโทษจำคุก 4 ปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1