แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ลูกจ้างมีเรื่องด่าและทำร้ายภริยาของลูกจ้างในสถานที่ทำการของนายจ้าง การที่ลูกจ้างไม่ยอมเชื่อฟังและแสดงกิริยาไม่เคารพผู้บังคับบัญชาก็เนื่องจากการทะเลาะกับภริยาอันเป็นเรื่องส่วนตัวที่เกิดจากความหึงหวงเพราะภริยาไม่กลับบ้านและลูกจ้างไม่พอใจที่มีผู้อื่นมาห้ามปราม การกระทำดังนี้ยังไม่ถึงกับเป็นการประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง และไม่เป็นการจงใจขัดคำสั่งของนายจ้างเป็นกรณีร้ายแรงที่นายจ้างจะเลิกจ้างได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย ส่วนการที่ผู้บังคับบัญชาห้ามปรามลูกจ้างนั้นก็ไม่ใช่เป็นคำสั่งที่มีกิจจะลักษณะแต่อย่างใด คงมีความประสงค์เพียงให้ลูกจ้างกับภริยาเลิกทะเลาะวิวาทกันเท่านั้นการที่ลูกจ้างไม่เชื่อฟังจึงยังถือไม่ได้ว่าเป็นการจงใจขัดคำสั่งของนายจ้างอันจะเป็นเหตุให้เลิกจ้างได้โดยมิพักต้องบอกกล่าวล่วงหน้า
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้รับโจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้างประจำในตำแหน่งพนักงานขับรถ เขตการเดินรถที่ ๑๑ ต่อมาจำเลยมีคำสั่งไล่โจทก์ออกจากงานโดยกล่าวหาว่า โจทก์กระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงตามข้อบังคับของจำเลย ซึ่งคำสั่งดังกล่าวไม่ชอบด้วยเหตุผลเพราะโจทก์ไม่ได้กระทำผิดข้อบังคับแต่อย่างใด ความจริงโจทก์ไปรอรับนางนันทิยา ภริยา ซึ่งทำงานที่เขตการเดินรถที่ ๑๑ โจทก์เพียงแต่มีเรื่องตบหน้านางนันทิยาเนื่องจากความโมโหและหึงหวงที่นางนันทิยาไม่กลับบ้านเมื่อถึงเวลาเลิกงานแล้ว การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์เป็นการเลิกจ้างที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ขอให้พิพากษาบังคับจำเลยรับโจทก์กลับเข้าทำงานในตำแหน่งหน้าที่และอัตราเงินเดือนเดิม และจ่ายค่าชดเชยให้โจทก์ตั้งแต่จำเลยสั่งให้โจทก์ออกจากงานจนกว่าจะรับโจทก์กลับเข้าทำงาน ถ้าจำเลยไม่สามารถรับโจทก์กลับเข้าทำงานได้ ให้จำเลยจ่ายค่าสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าชดเชย ค่าจ้างระหว่างที่โจทก์ถูกออกจากงาน และค่าเสียหาย พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า การที่จำเลยมีคำสั่งไล่โจทก์ออกจากงาน เนื่องจากโจทก์ได้ขึ้นไปที่ชั้นสามของสถานที่ทำการของจำเลยแล้วได้ก่อเหตุทะเลาะวิวาทกับนางนันทิยา ภริยา โดยเตะที่ขา ตบหน้า กระชากผม และพูดจาโวยวายส่งเสียงดังเพื่อให้นางนันทิยากลับบ้าน เป็นการขัดขวางการทำงานของผู้อื่น และก่อความวุ่นวายในสถานที่ทำงานของจำเลย นายปกศักดิ์ ผู้จัดการเขตการเดินรถเขต ๑๑ ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาได้พูดจาตักเตือนห้ามปรามโจทก์แต่โจทก์ไม่ยอมเชื่อฟังกลับแสดงอาการก้าวร้าวไม่เกรงกลัวและโต้เถียงด้วยเสียงอันดังต่อหน้าพนักงานอื่น ๆ คณะกรรมการสอบสวนที่จำเลยมีคำสั่งแต่งตั้งได้ทำการสอบสวนแล้วมีความเห็นให้ลงโทษไล่โจทก์ออกจากงาน เนื่องจากโจทก์กระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงตามข้อบังคับของจำเลย จำเลยมีสิทธิไล่โจทก์ออกจากงานโดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้า จำเลยไม่ต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าชดเชย ค่าเสียหาย ค่าจ้างระหว่างที่โจทก์ถูกสั่งให้ออกจากงาน อย่างไรก็ดีในระหว่างที่โจทก์ทำงานเป็นลูกจ้างจำเลย โจทก์ขับรถจนเกิดอุบัติเหตุทำให้ทรัพย์สินของจำเลยเสียหาย ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้โจทก์ชดใช้เงินแต่โจทก์ยังไม่ชำระ หากจำเลยต้องรับผิดจ่ายเงินใด ๆ ให้โจทก์แล้ว จำเลยก็ขอหักกลบลบหนี้จำนวนดังกล่าวด้วย
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไล่ออกจากงาน มิใช่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม โจทก์ไม่มีสิทธิขอให้จำเลยรับโจทก์กลับเข้าทำงานหรือเรียกค่าเสียหายจากการเลิกจ้างได้ สำหรับเงินค่าชดเชยนั้น สาเหตุที่เกิดเนื่องจากโจทก์เข้าไปก่อเหตุทำร้ายภริยาของโจทก์เองในที่ทำงานด้วยเรื่องส่วนตัวระหว่างสามีภริยา การฝ่าฝืนคำสั่งของผู้บังคับบัญชาดังกล่าวไม่ใช่กรณีร้ายแรง ไม่เป็นการฝ่าฝืนคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายของนายจ้างตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ ๔๗ เพราะไม่ใช่คำสั่งที่เกี่ยวกับการทำงาน เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยได้ตักเตือนโจทก์ในความผิดเรื่องนี้มาก่อน จำเลยต้องจ่ายค่าชดเชยให้โจทก์ จำเลยมีคำสั่งไล่โจทก์ออกจากงานโดยไม่ปรากฏว่าได้มีการบอกกล่าวเลิกจ้างล่วงหน้า ที่โจทก์จงใจขัดคำสั่งของนายจ้าง คำสั่งนั้นไม่ใช่คำสั่งที่เกี่ยวกับการทำงาน กรณีไม่เข้าข้อยกเว้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๕๘๓ จำเลยต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้แก่โจทก์ด้วย โดยจำเลยมีสิทธิหักกลบลบหนี้กับหนี้ที่โจทก์เป็นหนี้จำเลยอยู่ตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง พิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย และสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า พร้อมด้วยดอกเบี้ยแก่โจทก์ โดยให้จำเลยมีสิทธิขอหักกลบลบหนี้ออกจากเงินที่จำเลยจะต้องจ่ายให้โจทก์ด้วย
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า มีข้อวินิจฉัยว่าการกระทำของโจทก์เป็นการประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง เป็นการจงใจขัดคำสั่งของนายจ้างอันชอบด้วยกฎหมายและเป็นกรณีร้ายแรงอันจำเลยมีอำนาจเลิกจ้างโจทก์โดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าและไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยหรือไม่ เห็นว่า โจทก์เพียงแต่ได้มีเรื่องด่าและทำร้ายนางนันทิยาภริยาของโจทก์เองในสถานที่ทำการของจำเลยในวันเกิดเหตุเท่านั้น และการที่โจทก์ไม่ยอมเชื่อฟังและแสดงกิริยาไม่เคารพผู้บังคับบัญชานั้น ก็เนื่องจากโจทก์มีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกับภริยาของโจทก์อันเป็นเรื่องส่วนตัวที่เกิดจากความหึงหวง เนื่องจากนางนันทิยาไม่กลับบ้าน และโจทก์ไม่พอใจที่มีผู้อื่นเข้ามาห้ามปราบการกระทำของโจทก์ยังไม่ถึงกับเป็นการประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง และไม่เป็นการจงใจขัดคำสั่งของนายจ้างเป็นกรณีร้ายแรงที่จำเลยจะเลิกจ้างโจทก์โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย ส่วนการที่ผู้บังคับบัญชาห้ามปรามโจทก์มิให้มีเรื่องและด่าทำร้ายภริยานั้น เห็นว่า การกระทำของโจทก์เป็นเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกันระหว่างสามีภริยาอันสืบเนื่องมาจากโจทก์มีอารมณ์หึงหวง และการที่ผู้บังคับบัญชาห้ามปรามโจทก์ก็มิใช่เป็นคำสั่งที่มีกิจจะลักษณะแต่อย่างใด คงมีความประสงค์เพียงให้โจทก์กับภริยาเลิกทะเลาะวิวาทกันเท่านั้น การที่โจทก์ไม่เชื่อฟังจึงยังถือไม่ได้ว่าเป็นการจงใจขัดคำสั่งของนายจ้างอันจะเป็นเหตุให้จำเลยมีสิทธิเลิกจ้างโจทก์ได้โดยมิพักต้องบอกกล่าวล่วงหน้าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๕๘๓
พิพากษายืน