คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2992/2517

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยทำสัญญาให้โจทก์เช่าท่าจอดเรือ โดยโจทก์วางเงินมัดจำจำนวนหนึ่งเพื่อเป็นประกันตามสัญญา ต่อมาโจทก์ขอโอนสิทธิการเช่านี้ให้ บ. จำเลยอนุมัติและ บ.ได้เข้าทำสัญญาและวางเงินมัดจำเท่ากับที่โจทก์วางไว้ แต่ บ.เข้าครอบครองและดำเนินการตามสัญญาไม่ได้เนื่องจาก ส. ได้ทำสัญญารับช่วงดำเนินการจากโจทก์ไว้ก่อนตามสัญญาระหว่างโจทก์กับ ส. เมื่อโอนสิทธิการเช่าไปแล้วเช่นนี้สัญญาเช่าระหว่างโจทก์กับจำเลยจึงระงับไปไม่มีหนี้อันเป็นคุณประโยชน์แก่จำเลยเกี่ยวด้วยเงินมัดจำที่จำเลยยึดไว้ จำเลยจึงไม่อาจอ้างสัญญาเช่านี้เป็นเหตุยึดหน่วงเงินมัดจำของโจทก์ไว้ การที่ ส. ยังครอบครองทรัพย์สินที่เช่าอยู่ไม่ยอมส่งมอบให้ บ.นั้น เป็นเรื่องที่จะต้องว่ากล่าวกันเองหาเกี่ยวข้องกับโจทก์ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำสัญญาให้โจทก์ผูกขาดเช่าท่าเรือรับส่งคนโดยสารที่สถานีคลองสาน อำเภอคลองสาน จังหวัดธนบุรี มีกำหนด๓ ปี โจทก์ได้วางมัดจำไว้ ๓๘,๒๐๓ บาท ต่อมาโจทก์ขอโอนสิทธิการเช่านี้ให้นายบุญชอบ จำเลยอนุญาต และนายบุญชอบได้วางมัดจำไว้เพื่อประกันสัญญาจำนวนเท่ากับที่โจทก์วางไว้ โจทก์จึงขอเงินมัดจำของโจทก์คืนจำเลยไม่ยอมคืน จึงฟ้องขอให้คืนเงินมัดจำดังกล่าวพร้อมด้วยค่าเสียหายให้แก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยได้ให้โจทก์เช่าท่าเรือและโจทก์ได้วางเงินมัดจำไว้จริง แต่ก่อนทำสัญญาเช่ากับจำเลยนั้น โจทก์ได้ทำนิติกรรมอำพรางไว้กับนางสวิง โดยให้นางสวิงเป็นผู้จัดหาประโยชน์จากการเก็บค่าโดยสารแต่ผู้เดียวโจทก์มิได้ควบคุมดำเนินงานตามสัญญาเช่าและประกาศของจำเลย ต่อมาโจทก์ขอให้จำเลยโอนสิทธิการเช่าท่าเรือนี้ให้นายบุญชอบทั้ง ๆ ที่โจทก์ยังมีความผูกพันอยู่กับนางสวิงตามข้อตกลง จำเลยไม่ทราบ จึงได้อนุมัติให้โจทก์โอนสิทธิการเช่าได้มีอายุสัญญาเพียงเท่าที่เหลือจากที่โจทก์ทำไว้กับจำเลย ถ้าจำเลยทราบเรื่องว่าผู้อื่นรับช่วงสิทธิจากโจทก์ จำเลยก็จะบอกเลิกสัญญากับโจทก์ แต่จำเลยไม่ทราบเบื้องหลังมาก่อน จึงได้แจ้งให้นายบุญชอบมาทำสัญญา นายบุญชอบผู้รับโอนเข้าดำเนินกิจการไม่ได้เพราะนางสวิงไม่ยอมมอบท่าเรือให้และได้ร้องขอความเป็นธรรมมายังจำเลย โจทก์ดำเนินการท่าเรือมาโดยไม่สุจริต ไม่มีอำนาจฟ้อง กรณีเป็นเรื่องโจทก์ผิดสัญญา และเมื่อโจทก์ไม่คืนทรัพย์สินที่เช่าให้จำเลย จำเลยก็ไม่มีหน้าที่ต้องคืนเงินมัดจำและโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยได้
ชั้นพิจารณาโจทก์จำเลยต่างส่งเอกสารต่อศาลแล้วแถลงไม่ติดใจสืบพยานบุคคล
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเห็นว่า จำเลยอนุมัติให้นายบุญชอบทำสัญญาเช่าใหม่และรับเงินมัดจำจากนายบุญชอบแล้ว จะถือว่าโจทก์ผิดสัญญาไม่ได้สัญญาเช่าระหว่างโจทก์กับจำเลยระงับลงแล้ว จำเลยไม่มีสิทธิริบเงินมัดจำพิพากษาให้จำเลยคืนเงินมัดจำพร้อมทั้งค่าเสียหายรวมเป็นเงิน ๔๐,๓๕๑ บาท ๗๕ สตางค์ กับค่าเสียหายเดือนละ ๒๓๘ บาท ๗๕ สตางค์ ให้โจทก์นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า แม้สัญญาเช่าระหว่างโจทก์จำเลยระงับแต่นายบุญชอบไม่สามารถครอบครองสถานที่เช่าได้ ถือว่าโจทก์มิได้มอบสถานที่เช่าให้จำเลย เงินมัดจำยังเป็นประกันการปฏิบัติตามสัญญาอยู่ จำเลยมีสิทธิยึดหน่วงเงินมัดจำนี้ได้ พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยทำสัญญาให้โจทก์เช่าท่าจอดเรือมีกำหนด ๓ ปี กำหนดชำระค่าเช่าและค่าภาษีเป็นรายเดือน เดือนละ ๑๙,๑๐๑.๕๐ บาท โจทก์ได้วางเงินมัดจำสัญญาไว้เท่ากับค่าเช่าและค่าภาษี ๒ เดือน เป็นเงิน ๓๘,๒๐๓ บาท เพื่อเป็นประกันตามสัญญาต่อมาโจทก์มีหนังสือถึงจำเลยขอโอนสิทธิการเช่าท่าเรือนี้ให้นายบุญชอบ จำเลยอนุมัติให้โอนสิทธิการเช่าได้ และนายบุญชอบได้เข้าทำสัญญาและวางเงินมัดจำเท่าที่โจทก์วางไว้กับจำเลย โดยทำสัญญากันให้มีผลบังคับตั้งแต่วันที่ ๑กันยายน ๒๕๑๓ เป็นต้นไปจนครบกำหนดเวลาที่โจทก์ทำสัญญาไว้กับจำเลยแต่นายบุญชอบเข้าครอบครองและดำเนินการตามสัญญาที่ทำไว้ไม่ได้เนื่องจากนางสวิงได้ทำสัญญารับช่วงดำเนินการจากโจทก์ไว้อยู่ก่อนแล้วตามสัญญาระหว่างโจทก์กับนางสวิง นางสวิงจึงไม่ยอมมอบท่าเรือให้นายบุญชอบจำเลยก็ไม่ยอมคืนเงินมัดจำที่โจทก์วางไว้ เพราะถือว่าโจทก์ไม่ส่งมอบสถานที่เช่าคืนจำเลย ในปัญหาที่ว่าจำเลยจะมีสิทธิยึดหน่วงเงินมัดจำตามฟ้องไว้ได้หรือไม่ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เมื่อจำเลยโอนสิทธิการเช่าไปแล้ว สัญญาเช่าระหว่างโจทก์กับจำเลยจึงระงับไปจำเลยหาอาจอ้างสัญญาเช่านี้มาเป็นเหตุยึดหน่วงเงินมัดจำของโจทก์ไว้ได้ไม่ การที่นางสวิงยังคงครอบครองทรัพย์สินที่เช่าอยู่ไม่ยอมมอบให้แก่นายบุญชอบนั้นเป็นเรื่องที่จะต้องว่ากล่าวกันเองหาเกี่ยวข้องกับโจทก์ไม่ เมื่อสัญญาเช่าระหว่างโจทก์กับจำเลยเลิกกันแล้วเงินมัดจำก็ไม่ใช่เป็นเงินประกันการปฏิบัติตามสัญญาเช่าเพราะไม่มีหนี้อันเป็นคุณประโยชน์แก่จำเลยเกี่ยวด้วยเงินมัดจำที่จำเลยยึดไว้ ที่ศาลอุทธรณ์ชี้ขาดว่าจำเลยมีสิทธิยึดหน่วงเงินมัดจำของโจทก์ไว้นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share