แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
แม้สัญญาเช่าซื้อระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 จะมีข้อตกลงว่าหากโจทก์ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อสองงวดติดต่อกัน ถือว่าสัญญาเช่าซื้อเลิกกันโดยไม่ต้องบอกกล่าว แต่เมื่อโจทก์เคยผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อสองงวดต่อกันแล้ว จำเลยที่ 1 ยังยอมรับค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระและคืนรถยนต์ที่ยึดแก่โจทก์ ถือว่าจำเลยที่ 1มิได้ถือเอากำหนดเวลาชำระค่าเช่าซื้อตามสัญญาเป็นสาระสำคัญอีกต่อไปเมื่อจำเลยที่ 1 จะเลิกสัญญาเช่าซื้อจะต้องบอกกล่าวแก่โจทก์ตามป.พ.พ. มาตรา 387 ก่อน การที่โจทก์ผิดสัญญาไม่ชำระค่าเช่าซื้อสองงวดติดต่อกัน และจำเลยที่ 1 ยึดรถคืนจากโจทก์ โจทก์อ้างแต่เพียงว่าการยึดรถยนต์ของจำเลยที่ 1 แต่ละครั้งไม่ชอบ แต่โจทก์ยอมชำระค่าเช่าซื้อให้และในการผิดนัดครั้งที่สามโจทก์ไม่ยอมรับผิดในหนี้อย่างอื่น ตามที่จำเลยที่ 1 เรียกร้องอีก จึงตกลงกันไม่ได้ พฤติการณ์ดังกล่าวถือได้ว่าโจทก์กับจำเลยที่ 1 สมัครใจที่จะเลิกสัญญาเช่าซื้อต่อกันโดยปริยายนับแต่วันที่จำเลยที่ 1 ยึดรถยนต์ที่เช่าซื้อคืน โจทก์และจำเลยที่ 1 ต่างต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งกลับคืนฐานะเดิม จำเลยที่ 1จึงชอบที่จะเข้าครอบครองและยึดรถยนต์คืนจากโจทก์ได้ ไม่เป็นการผิดสัญญาและละเมิดต่อโจทก์ ส่วนกระบะบรรทุกดั๊ม พร้อมอุปกรณ์ที่ติดกับรถยนต์ที่เช่าซื้อที่โจทก์ได้ทำขึ้น จำเลยที่ 1 จะต้องคืนให้โจทก์ โจทก์กับจำเลยที่ 1 จะเรียกค่าเสียหายใด ๆ ต่อกันไม่ได้.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์ได้เช่าซื้อรถยนต์บรรทุกสิบล้อ เป็นรถเปล่าไม่มีกระบะบรรทุกจากจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 790,900 บาท โจทก์ชำระเงินล่วงหน้าในวันทำสัญญาเป็นเงิน 100,000 บาท ที่เหลือผ่อนชำระ 30 งวดงวดละหนึ่งเดือน เดือนละ 23,030 บาท เริ่มชำระงวดที่หนึ่งภายในวันที่ 25 ตุลาคม 2524 งวดต่อไปชำระภายในวันที่ 25 ของทุกเดือนติดต่อกันไปจนกว่าจะชำระเสร็จ โจทก์ต่อเติมชุดกระบะบรรทุกดั๊มพร้อมอุปกรณ์ติดเข้ากับรถยนต์คันดังกล่าวเป็นเงิน 90,000 บาท โจทก์ชำระค่าเช่าซื้อรถยนต์นั้นให้จำเลยที่ 1 แล้ว 20 งวด เป็นเงิน 460,600บาท เหลืออีก 10 งวดเป็นเงิน 230,300 บาท ต่อมาจำเลยทั้งสองร่วมกันยึดรถยนต์คันดังกล่าวพร้อมชุดกระบะบรรทุกดั๊มของโจทก์โดยไม่มีสิทธิหรืออำนาจ จำเลยทั้งสองแจ้งให้โจทก์ชำระค่าเช่าซื้อที่ค้าง มิฉะนั้นจะเลิกสัญญาเช่าซื้อ โจทก์ติดต่อจำเลยทั้งสอง แต่จำเลยทั้งสองให้โจทก์ชำระค่าติดตามเอารถคืนค่าดอกเบี้ยและค่าหนี้อื่น ๆ จึงจะคืนรถยนต์ให้ โจทก์ไม่ยินยอม ต่อมาจำเลยทั้งสองนำรถยนต์พร้อมชุดกระบะบรรทุกดั๊มไปให้บุคคลอื่นเช่าและเช่าซื้อไปการกระทำของจำเลยทั้งสองดังกล่าวถือว่าจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาและจำเลยทั้งสองร่วมกันทำละเมิดต่อโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย โจทก์ขอคิดค่าขาดประโยชน์เป็นเงินวันละ 1,200 บาท นับตั้งแต่วันที่จำเลยทั้งสองยึดรถยนต์บรรทุกคืนไปถึงวันฟ้องเป็นเวลา 364 วัน เป็นเงินค่าขาดประโยชน์436,800 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จและให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนรถยนต์สิบล้อพร้อมชุดกระบะบรรทุกดั๊ม หากไม่สามารถคืนได้ก็ให้ใช้ราคาเป็นเงิน 300,000บาท โดยหักราคาค่าเช่าซื้อที่เหลือทั้งหมดจำนวน 230,300 บาทแล้วและให้ใช้ราคาชุดกระบะบรรทุกดั๊มเป็นเงิน 60,000 บาท ให้จำเลยทั้งสองชำระค่าเสียหายเป็นเงินวันละ 1,200 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสองจะคืนหรือใช้ราคารถยนต์และชุดกระบะบรรทุกดั๊มเสร็จสิ้น
จำเลยทั้งสองให้การว่า การชำระค่าเช่าซื้อรถยนต์ของโจทก์ไม่เป็นไปตามกำหนดเวลาและเงื่อนไขซึ่งระบุไว้ในสัญญาเช่าซื้ออันเป็นผลให้สัญญาเช่าซื้อระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 สิ้นสุดลง กล่าวคือโจทก์ชำระค่าเช่าซื้อแต่ละครั้งไม่ตรงตามงวดและชำระครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2526 การกระทำของโจทก์เป็นการผิดสัญญาเช่าซื้อข้อ 16 และ 17 อันมีผลให้ถือว่าสัญญาเช่าซื้อระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 1 สิ้นสุดลงโดยไม่จำต้องบอกกล่าว จำเลยที่ 1 จึงให้พนักงานของจำเลยที่ 1 ไปยึดรถยนต์คันดังกล่าวมาไว้ในความครอบครองของจำเลยที่ 1 แจ้งให้โจทก์ทราบว่าหากยังต้องการรถยนต์ก็ให้นำค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระอยู่พร้อมทั้งค่าใช้จ่ายในการติดตามรถยนต์ไปชำระให้แต่โจทก์ไม่ปฏิบัติตาม จำเลยที่ 1 จึงซ่อมรถยนต์เสียค่าซ่อมเป็นเงิน60,000 บาทเศษ ซึ่งโจทก์ต้องรับผิดชดใช้ค่าซ่อมนั้นให้แก่จำเลยที่ 1ตามสัญญา จำเลยที่ 1 จึงเอากระบะบรรทุกดั๊มของโจทก์ซึ่งติดตั้งมากับรถยนต์ของจำเลยที่ 1 ชดใช้และหักกลบลบหนี้กันการกระทำของจำเลยที่ 1ไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ ส่วนจำเลยที่ 2 ไม่เคยเข้าเกี่ยวข้องหรือกระทำร่วมกับจำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ตามฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า โจทก์ผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อสองคราวติดต่อกัน สัญญาเช่าซื้อสิ้นสุดลงตามสัญญาแล้ว จำเลยที่ 1มีสิทธิยึดรถยนต์คืนจากโจทก์โดยไม่จำต้องบอกเลิกสัญญา โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาเช่าซื้อ ไม่มีสิทธิฟ้องให้จำเลยทั้งสองชำระค่าเสียหายและส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืน แต่กระบะบรรทุกที่โจทก์นำมาติดเข้ากับตัวรถเป็นส่วนควบกับตัวรถยนต์ จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นคู่สัญญากับโจทก์ต้องชำระราคาให้แก่โจทก์ ส่วนจำเลยที่ 2 ไม่ได้เป็นคู่สัญญากับโจทก์จึงไม่ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 และกำหนดราคากระบะบรรทุกเป็นเงิน 20,000 บาท สิทธิเรียกร้องเงินค่าซ่อมรถยนต์ของจำเลยที่ 1ยังมีข้อต่อสู้อยู่นำมาหักกลบลบหนี้กับราคากระบะบรรทุกไม่ได้พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน 20,000 บาท แก่โจทก์ คำขออื่นให้ยก
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์ชำระค่าเช่าซื้อไม่ตรงตามกำหนดจำเลยที่ 1 ก็ยอมรับ แสดงว่าโจทก์และจำเลยที่ 1 มิได้เจตนาถือเอากำหนดเวลาชำระค่าเช่าซื้อตามสัญญาเป็นสาระสำคัญอีกต่อไป เมื่อโจทก์ไม่ชำระค่าเช่าซื้อตามกำหนด 2 งวดติดต่อกัน จะถือว่าสัญญาเช่าซื้อสิ้นสุดลงโดยไม่บอกกล่าวไม่ได้ สัญญาเช่าซื้อตามฟ้องจึงยังไม่เลิกกัน จำเลยที่ 1 มอบให้จำเลยที่ 2 ยึดรถยนต์คืนจากโจทก์ จำเลยที่ 1เป็นฝ่ายผิดสัญญาและกระทำละเมิดต่อโจทก์ร่วมกับจำเลยที่ 2 พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนรถยนต์สิบล้อพร้อมชุดกระบะบรรทุกดั๊มให้แก่โจทก์ หากไม่สามารถคืนได้ก็ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ราคารถยนต์เป็นเงิน 300,000 บาท โดยหักราคาค่าเช่าซื้อที่เหลือทั้งหมดจำนวน 230,300 บาทแล้ว กับให้ร่วมกันใช้ราคาชุดกระบะบรรทุกดั๊มเป็นเงิน 60,000 บาท แทนให้แก่โจทก์ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายถึงวันฟ้องจำนวน 100,000 บาท ให้แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงินค่าเสียหายจำนวนดังกล่าวนับตั้งแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระค่าเสียหายให้โจทก์เสร็จ กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์วันละ 300 บาท นับตั้งแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสองจะคืนหรือใช้ราคารถยนต์และชุดกระบะบรรทุกดั๊มเสร็จสิ้น
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “แม้จะฟังได้ว่าตามสัญญาเช่าซื้อมีข้อตกลงว่า หากโจทก์ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อสองงวดติดต่อกันถือว่าสัญญาเช่าซื้อเลิกกันโดยไม่ต้องบอกกล่าว แต่เมื่อโจทก์เคยผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อสองงวดติดต่อกันแล้วภายหลังโจทก์นำค่าเช่าซื้อที่ค้างไปชำระ จำเลยที่ 1 ก็ยอมรับและคืนรถยนต์ที่ยึดแก่โจทก์ เป็นการแสดงว่าจำเลยที่ 1 มิได้ถือเอากำหนดเวลาชำระค่าเช่าซื้อตามสัญญาเป็นสำระสำคัญอีกต่อไป จำเลยที่ 1 จะเลิกสัญญาเช่าซื้อต้องบอกกล่าวแก่โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 387 ก่อน ต่อมาเมื่อโจทก์ผิดสัญญาไม่ชำระค่าเช่าซื้อสองงวดติดต่อกันและจำเลยที่ 1 ได้ยึดรถยนต์คืนจากโจทก์อีก โจทก์ก็เบิกความเพียงว่าการยึดรถยนต์ของจำเลยที่ 1 แต่ละครั้งไม่ชอบ โจทก์ยอมชำระค่าเช่าซื้อให้ แต่ในการยึดครั้งที่สาม จำเลยที่ 1 จะให้โจทก์รับผิดในหนี้อื่นอีกจึงตกลงกันไม่ได้เท่านั้น เท่ากับว่าโจทก์ยินยอมให้จำเลยที่ 1 ยึดรถยนต์คืนไปโดยมิได้โต้แย้งว่าการยึดไม่ชอบจึงเป็นพฤติการณ์ที่ถือได้ว่าโจทก์กับจำเลยที่ 1 ต่างสมัครใจที่จะเลิกสัญญาเช่าซื้อต่อกันโดยปริยายนับแต่วันที่จำเลยที่ 1 ยึดรถยนต์ที่เช่าซื้อคืน โจทก์และจำเลยที่ 1 ต่างต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งได้กลับคืนฐานะเดิม ตามนัยแห่งคำพิพากษาฎีกาที่ 4174/2530 ระหว่างบริษัทสตาร์อินเวสเมนท์จำกัด โจทก์ นายอาคม เก่งบัญชา จำเลย จำเลยที่ 1 จึงชอบที่จะเข้าครอบครองและยึดรถยนต์คืนจากโจทก์ได้ ไม่ถือว่าเป็นการผิดสัญญาและละเมิดต่อโจทก์ แต่จำเลยที่ 1 จะต้องคืนชุดกระบะบรรทุกดั๊มให้แก่โจทก์ และแต่ละฝ่ายจะเรียกค่าเสียหายใด ๆ จากอีกฝ่ายหนึ่งไม่ได้เพราะเป็นการสมัครใจเลิกสัญญาต่อกัน โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าขาดประโยชน์จากจำเลยที่ 1 และที่จำเลยที่ 1 เอาชุดกระบะบรรทุกดั๊มของโจทก์ให้เช่าซื้อพร้อมกับรถยนต์แล้วอ้างว่าเอาราคามาหักกลบลบหนี้กับค่าเสียหายที่โจทก์ต้องชำระให้จำเลยที่ 1 ตามสัญญาเช่าซื้อจึงไม่ถูกต้อง จำเลยที่ 1 ต้องใช้ราคาชุดกระบะบรรทุกดั๊มให้โจทก์ชุดกระบะบรรทุกดั๊มตามฟ้องโจทก์ตีราคาไว้ 60,000 บาท จำเลยทั้งสองไม่ได้ให้การโต้แย้ง ทั้งยังให้การว่าเมื่อยึดรถยนต์คืนจากโจทก์แล้วค่าซ่อมเป็นเงิน 60,000 บาทเศษ จึงเอาชุดกระบะบรรทุกดั๊มของโจทก์มาหักกลบลบกัน ทำให้เชื่อว่าชุดกระบะบรรทุกดั๊มของโจทก์มีราคา60,000 บาทจริง ความรับผิดของจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์เป็นความรับผิดจากการเลิกสัญญา จำเลยที่ 2 ไม่ใช่คู่สัญญากับโจทก์จึงไม่ต้องรับผิดร่วมด้วย”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 60,000 บาท แก่โจทก์ จำเลยที่ 2 ให้ยกฟ้อง.