แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายโดยมิได้ใช้อาวุธ จึงเป็นคดีอาญาความผิดต่อส่วนตัว หรือเป็นความผิดอันยอมความได้ตาม ป.อ.มาตรา 281 เมื่อคดียังไม่ถึงที่สุด ผู้เสียหายจะถอนคำร้องทุกข์เสียเมื่อใดก็ ได้ ปรากฏว่าระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา ผู้เสียหายถอนคำร้องทุกข์ ดังนี้สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไปตามป.วิ.อ. มาตรา 39(2) ศาลฎีกาย่อมมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีเสียจากสารบบความ.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2525มาตรา 3 และคืนของกลางแก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 276 วรรคแรก พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา(ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2525 มาตรา 3 จำคุก 5 ปี คืนของกลางแก่ผู้เสียหาย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ผู้เสียหายขอถอนคำร้องทุกข์โจทก์จำเลยไม่คัดค้าน
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายโดยใช้อาวุธปืนจี้ ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยกระทำผิดจริง แต่ข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยใช้อาวุธปืนด้วย และพิพากษาลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคแรก โจทก์มิได้อุทธรณ์ ข้อเท็จจริงจึงฟังได้เป็นยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่าจำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายโดยมิได้ใช้อาวุธปืน ดังนั้นคดีนี้จึงเป็นคดีอาญาความผิดต่อส่วนตัว หรือเป็นความผิดอันยอมความได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 281 เมื่อคดียังไม่ถึงที่สุดผู้เสียหายจะถอนคำร้องทุกข์เสียเมื่อใดก็ได้เมื่อผู้เสียหายถอนคำร้องทุกข์สิทธินำคดีอาญามาฟ้องยอมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (2) จึงให้จำหน่ายคดีเสียจากสารบบความ”.