แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ฟ้องว่า จำเลยได้หักเงินสะสมไว้เป็นรายเดือนในระหว่างปฏิบัติงาน โจทก์ควรได้เงินสะสมดังกล่าวแต่จำเลยไม่จ่ายให้ แม้โจทก์มิได้ขอแก้ไขคำขอบังคับท้ายคำฟ้องให้รับกับคำฟ้องที่แก้ไขก็ตามแต่ตามเนื้อความที่ขอแก้ไขนั้นแสดงให้เห็นเจตนาของโจทก์ได้แจ้งชัดว่า โจทก์ประสงค์ที่จะเรียกร้องเงินสะสมจากจำเลย คำร้องขอแก้ไขคำฟ้องของโจทก์ชอบด้วยกฎหมายแล้ว การที่โจทก์มิได้ขอแก้ไขคำขอบังคับท้ายคำฟ้องให้ครบถ้วนเพียงเท่านี้ไม่ถือว่าฟ้องโจทก์ไม่ถูกถ้วนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 ที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยแล้วพิพากษาหรือสั่งตามคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องที่ศาลสั่งอนุญาตแล้วนั้น หาเป็นการพิพากษาหรือสั่งที่ฝ่าฝืนประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงาน ฯ มาตรา 52 ไม่
คดีแรงงานศาลฎีกาวินิจฉัยชี้ขาดในปัญหาข้อเท็จจริงเสียเองไม่ได้ต้องย้อนสำนวนไปให้ ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยชี้ขาด ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243 และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานฯ มาตรา 31 และมาตรา 56.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า จำเลยจ้างโจทก์เป็นลูกจ้างประจำในขณะปฏิบัติงานโจทก์ประสบอุบัติเหตุต้องรักษาตัวเป็นเวลา 9 เดือนเป็นเงินค่าทดแทนที่โจทก์ควรได้รับ 46,800 บาทต้องเสียค่ารักษาพยาบาลทั้งสิ้น 39,054 บาท นับแต่ พ.ศ.2503ถึง พ.ศ.2529 ที่โจทก์ทำงานจำเลยได้หักเงินเดือนโจทก์เป็นเงินสะสมไว้เดือนละ 200 บาท เวลา 26 ปี เป็นเงินสะสม 62,400 บาทต่อมาจำเลยได้เลิกจ้างโจทก์โดยไม่มีความผิดไม่บอกกล่าวล่วงหน้าขอให้ศาลบังคับจำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าชดเชยแก่โจทก์
จำเลยให้การว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์เพราะเหตุที่โจทก์ละทิ้งหน้าที่การงานเกินกว่าสามวันทำงานติดต่อกันโดยไม่แจ้งให้จำเลยทราบ อันเป็นการผิดระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยจำเลยจึงเลิกจ้างโจทก์เสียได้โดยไม่ต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย ตามระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลย ส่วนที่โจทก์เรียกร้องเงินทดแทนนั้นโจทก์มิได้ประสบอุบัติเหตุล้มป่วยขณะที่ปฏิบัติหน้าที่สำหรับเงินสะสมจำเลยเพิ่งก่อตั้งเป็นบริษัทเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2515 ที่โจทก์อ้างว่าทำงานกับจำเลยตั้งแต่ พ.ศ.2503 จึงไม่เป็นความจริงขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 4,152 บาท ค่าชดเชย 31,200 บาท แก่โจทก์
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่าชั้นเดิมโจทก์ฟ้องและมีคำขอให้บังคับจำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าชดเชยเพียงสองประเภทเท่านั้นต่อมาจึงได้ขอแก้ไขคำฟ้องโดยบรรยายฟ้องว่า จำเลยยังมิได้จ่ายเงินอีกสามประเภทให้แก่โจทก์และขอเพิ่มจำนวนสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าเพิ่มจากจำนวนตามคำฟ้องเดิม เฉพาะที่เป็นปัญหาขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลฎีกามีเฉพาะเงินสะสมประเภทเดียวเรื่องเงินสะสมนี้โจทก์บรรยายในคำร้องขอแก้ไขฟ้องในข้อ ง. ว่า ‘เงินสะสมของพนักงานที่ทางบรษัทจำเลยหักไว้ให้แต่ละเดือนเฉลี่ยแล้วเดือนละ 200 บาท โจทก์ทำงานกับบริษัทจำเลยมาตั้งแต่ปี 2503ถึงปี 2529 เป็นเวลาที่ปฏิบัติงานมาถึง 26 ปี โจทก์ควรจะได้เงินสะสมจำนวนนี้อีก 62,400 บาท แต่จำเลยไม่เคยจ่ายให้โจทก์เลย’ ศาลแรงงานกลางสั่งว่า ‘สำเนาให้อีกฝ่ายสอบสั่งในวันนัด’ครั้นถึงวันนัดศาลแรงงานสั่งว่า ‘โจทก์ได้ยื่นคำร้องขอแก้ฟ้องสำเนาให้จำเลยโจทก์ขอแก้ฟ้องก่อนจำเลยยื่นคำให้การจึงอนุญาตตามขอ’ หลังจากนั้นศาลแรงงานกลางได้ชี้สองสถานและกำหนดประเด็นข้อพิพาทในวันนัดต่อมาเฉพาะเงินสะสม ศาลแรงงานกลางกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า ‘จำเลยได้หักเงินสะสมโจทก์ไว้จริงหรือไม่เพียงใด’
พฤติการณ์แห่งคดีเป็นตามที่กล่าวข้างต้น ศาลฎีกาเห็นว่าแม้โจทก์มิได้ขอแก้ไขคำขอบังคับท้ายคำฟ้องให้รับกับคำฟ้องที่แก้ไขก็ตามแต่ตามเนื้อความที่ขอแก้ไขนั้นย่อมเห็นเจตนาของโจทก์ได้แจ้งชัดว่าโจทก์ประสงค์ที่จะเรียกร้องเงินสะสมจากจำเลยความในวรรคท้ายของคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องที่ถัดจากข้อ ง. โจทก์บรรยายถึงความประสงค์โดยเน้นว่า ‘….เป็นสิทธิและประโยชน์ที่โจทก์ควรจะได้ทุกประการขอศาลได้โปรดประทานความเมตตาให้โจทก์…’ ซึ่งศาลแรงงานกลางคงได้เห็นความข้อนี้อยู่และเห็นว่าคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องของโจทก์ชอบด้วยกฎหมายแล้วจึงสั่งอนุญาตให้แก้ไขคำฟ้องได้ตามขอและตั้งประเด็นข้อพิพาทสำหรับเงินสะสมไว้ด้วยโดยมิได้ถือว่าการที่โจทก์มิได้ขอแก้ไขคำขอบังคับท้ายคำฟ้องเป็นสาระสำคัญที่จะทำให้คำร้องขอแก้ไขคำฟ้องไม่ถูกต้องตามกฎหมายจนไม่อาจบังคับให้ได้ การที่โจทก์มิได้ขอแก้ไขคำขอบังคับท้ายคำฟ้องให้ครบถ้วนเพียงเท่านี้ไม่อาจถือได้ว่าฟ้องโจทก์ไม่ถูกถ้วนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 172 วรรคสอง ซึ่งนำมาใช้แก่การดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลแรงงานตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 31 อีกประการหนึ่ง ศาลฎีกาเห็นว่าเรื่องเงินสะสมนี้ ‘ปรากฏในคำฟ้อง’ต้องตามความในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงาน ฯ มาตรา 52 แล้ว การที่ศาลแรงงานกลางจะวินิจฉัยแล้วพิพากษาหรือสั่งตามคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องที่ศาลสั่งอนุญาตแล้วนั้น หาเป็นการพิพากษาหรือสั่งที่ฝ่าฝืนบทมาตราของกฎหมายตามที่กล่าวข้างต้นนั้นไม่ จำเลยหักเงินสะสมโจทก์ไว้จริงหรือไม่เพียงใดเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาไม่อาจวินิจฉัยชี้ขาดเสียเองได้จึงชอบที่จะย้อนสำนวนไปให้ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยชี้ขาด ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 243 และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงาน ฯ มาตรา 33 และมาตรา 56
พิพากษาแก้เป็นว่าให้ยกคำพิพากษาศาลแรงงานกลางในประเด็นเรื่องเงินสะสมให้ศาลแรงงานกลางพิจารณาคดีใหม่เฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับเงินสะสมตามประเด็นข้อพิพาทในการชี้สองสถานแล้วมีคำพิพากษาใหม่ตามรูปความนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง.