แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยซึ่งเป็นผู้ชำระบัญชีของบริษัท พ. มีหน้าที่ต้องแจ้งเรื่องที่บริษัทดังกล่าวจดทะเบียนเลิกบริษัทให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ของบริษัททราบเพื่อโจทก์จะได้ยื่นทวงหนี้แก่จำเลยในฐานะผู้ชำระบัญชี แต่จำเลยกลับละเลยไม่แจ้งเรื่องดังกล่าวให้โจทก์ทราบการกระทำของจำเลยเป็นการจงใจหรือประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้จำเลยรับผิดชำระเงินเท่ากับจำนวนที่โจทก์มีสิทธิเรียกร้องจากบริษัท พ. คำฟ้องของโจทก์ดังกล่าวเป็นการฟ้องให้จำเลยรับผิดในมูลละเมิด มิใช่ฟ้องให้รับผิดในฐานะผู้ชำระบัญชีตาม ป.พ.พ. มาตรา 1272 ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยกระทำละเมิด จึงไม่ใช่การวินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็น
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เดิมโจทก์ได้ฟ้องบริษัทพี.เอส.ซี แอนด์ เอ จำกัด เป็นจำเลยต่อศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ต่อมาศาลได้พิพากษาตามยอม โดยจำเลยในคดีดังกล่าวตกลงชำระหนี้แก่โจทก์จำนวน 243,700 บาท ภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2543 ภายหลังศาลมีคำพิพากษา จำเลยไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษาตามยอม ต่อมาเมื่อประมาณต้นเดือนตุลาคม 2547 โจทก์ประสงค์จะดำเนินการบังคับแก่จำเลย จึงตรวจสอบทางทะเบียนพาณิชย์ แต่พบว่าบริษัทพี.เอส.ซี แอนด์ เอ จำกัด ได้จดทะเบียนเลิกบริษัทแล้ว ขณะจดทะเบียนเลิกบริษัทมีจำเลยเป็นกรรมการผู้มีอำนาจและเป็นผู้ชำระบัญชีแต่เพียงผู้เดียวของบริษัท ซึ่งในการชำระบัญชีจำเลยหาได้ส่งคำบอกกล่าวแจ้งให้โจทก์ทราบเรื่องการดำเนินการจดทะเบียนเลิกบริษัทเพื่อให้โจทก์ในฐานะเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของบริษัทได้ยื่นทวงหนี้แก่จำเลยในฐานะผู้ชำระบัญชี การกระทำของจำเลยดังกล่าวเป็นการกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ไม่ได้รับชำระหนี้จำนวน 243,700 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2543 คืน ซึ่งนับถึงวันฟ้องคดีนี้คิดเป็นดอกเบี้ยจำนวน 70,000 บาทเศษ แต่โจทก์ขอคิดเพียง 56,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 300,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 243,700 บาท นับตั้งแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่ได้กระทำการใดๆ เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย โจทก์ได้บังคับคดีเอากับบริษัทพี.เอส.ซี แอนด์ เอ จำกัด ไปแล้ว ประกอบกับคดีโจทก์ขาดอายุความแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า คดีโจทก์ยังไม่ขาดอายุความ พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ในประเด็นข้อพิพาทที่ยังไม่ได้วินิจฉัยตามรูปคดี ส่วนค่าฤชาธรรมเนียมให้รวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงได้ความว่า เดิมโจทก์ได้ยื่นฟ้องบริษัทพี.เอส.ซี แอนด์ เอ จำกัด เป็นจำเลย ต่อมาได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน และศาลได้พิพากษาตามยอม โดยในคดีดังกล่าว บริษัทพี.เอส.ซี แอนด์ เอ จำกัด ตกลงชำระหนี้ให้แก่โจทก์ จำนวน 243,700 บาท ภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2543 ภายหลังศาลมีคำพิพากษา บริษัท.เอส.ซี แอนด์ เอ จำกัด ไม่ชำระหนี้ให้แก่โจทก์ และต่อมาบริษัทพี.เอส.ซี. แอนด์ เอ จำกัดได้จดทะเบียนเลิกบริษัทโดยมีจำเลยเป็นผู้ชำระบัญชี จำเลยได้จดทะเบียนเสร็จการชำระบัญชีเพื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2544
ที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดในฐานะผู้ชำระบัญชีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1272 มิใช่ฟ้องให้รับผิดในมูลละเมิด ที่ศาลอุทธรณ์ยกอายุความละเมิดขึ้นวินิจฉัยเป็นการไม่ถูกต้อง อันเป็นการฎีกาในทำนองว่าศาลอุทธรณ์วินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็นนั้น เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องโดยยกข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่า จำเลยซึ่งเป็นผู้ชำระบัญชีของบริษัทพี.เอส.ซี แอนด์ เอ จำกัด มีหน้าที่แจ้งเรื่องที่บริษัทดังกล่าวจดทะเบียนเลิกบริษัทให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ของบริษัททราบเพื่อโจทก์จะได้ยื่นทวงหนี้แก่จำเลยในฐานะผู้ชำระบัญชี แต่จำเลยกลับละเลยไม่แจ้งเรื่องดังกล่าวให้โจทก์ทราบ การกระทำของจำเลยเป็นการจงใจหรือประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้จำเลยรับผิดชำระเงินเท่ากับจำนวนที่โจทก์มีสิทธิเรียกร้องจากบริษัทพี.เอส.ซี แอนด์ เอ จำกัด พร้อมดอกเบี้ย ซึ่งตามข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาในคำฟ้องของโจทก์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าโจทก์ประสงค์จะฟ้องให้จำเลยรับผิดในมูลละเมิด หาใช่ฟ้องให้รับผิดในฐานะผู้ชำระบัญชีตามมาตรา 1272 ตามที่จำเลยอ้างไม่ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาดังกล่าว จึงไม่ใช่การวินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็น ฎีกาของจำเลยในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์รู้ถึงการละเมิดและรู้ถึงตัวผู้ที่ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตั้งแต่ปี 2543 คดีโจทก์จึงขาดอายุความนั้น เห็นว่า ในประเด็นนี้ นอกจากโจทก์จะอ้างตนเองเบิกความยืนยันว่าโจทก์ทราบเรื่องที่บริษัทพี.เอส.ซี แอนด์ เอ จำกัด ได้จดทะเบียนเลิกบริษัทโดยมีจำเลยเป็นผู้ชำระบัญชีเมื่อเดือนตุลาคม 2547 แล้วโจทก์ยังมีหนังสือรับรองซึ่งทางราชการออกให้เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2547 มานำสืบสนับสนุน ทำให้น่าเชื่อว่าโจทก์ทราบเรื่องที่บริษัทดังกล่าวจดทะเบียนเลิกบริษัทโดยมีจำเลยเป็นผู้ชำระบัญชีเมื่อเดือนตุลาคม 2547 ตามที่โจทก์กล่าวอ้างจริง ส่วนที่จำเลยอ้างว่า ได้แจ้งเรื่องที่บริษัทพี.เอส.ซี แอนด์ เอ จำกัด จดทะเบียนเลิกบริษัทและตั้งจำเลยเป็นผู้ชำระบัญชีให้โจทก์ทราบตั้งแต่ประมาณปี 2544 นั้นเป็นการกล่าวอ้างลอยๆ โดยไม่มีข้อเท็จจริงใดมาสนับสนุนให้เห็นเช่นนั้น สำหรับหนังสือเรื่องแจ้งอายัดสิทธิเรียกร้องเอกสารหมาย ล.1 ที่เจ้าพนักงานบังคับคดีมีไปถึงผู้จัดการเอเชีย จำกัด (มหาชน) สาขาบรรทัดทอง นั้น แม้จะระบุว่าได้ทำขึ้นเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2544 แต่ข้อเท็จจริงเรื่องวันเวลาที่ทำเอกสารดังกล่าวขึ้นก็หาใช่ข้อบ่งชี้ว่าโจทก์ได้ทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสถานะของบริษัทพี.เอส.ซี แอนด์ เอ จำกัด ว่า อยู่ในระหว่างการชำระบัญชีตั้งแต่ปี 2544 ไม่ พยานหลักฐานที่โจทก์นำมาสืบมีนำหนักให้รับฟังได้ว่า โจทก์ทราบเหตุละเมิดและทราบถึงผู้ที่จะต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเมื่อเดือน ตุลา
คม เมื่อโจทก์นำคดีนี้มาฟ้องจำเลยในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2547 คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ