แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดทำให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่เพียงผู้เดียวมีอำนาจในการจัดการทรัพย์สินของลูกหนี้ตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 22 แต่คำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ดังกล่าวไม่กระทบถึงสิทธิของผู้ร้องซึ่งเป็นเจ้าหนี้มีประกันในการที่จะบังคับชำระหนี้เอาแก่ทรัพย์สินอันเป็นหลักประกัน ตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 110 วรรคสาม การที่ผู้ร้องมิได้ดำเนินการบังคับคดีจนล่วงเลยระยะเวลาที่ ป.วิ.พ. มาตรา 271 กำหนดไว้ผู้ร้องย่อมหมดสิทธิในการบังคับคดีในมูลหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวแต่ผู้ร้องก็ยังมีสิทธิจะได้รับชำระหนี้ในฐานะผู้รับจำนองตาม ป.พ.พ. มาตรา 745 ในหนี้จำนองพร้อมด้วยดอกเบี้ยที่ค้างชำระเป็นเวลา 5 ปี ผู้ร้องจึงมีสิทธิขอให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยึดทรัพย์จำนองของจำเลยออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่ผู้ร้องได้
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้พิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2546 และพิพากษาให้จำเลยล้มละลายเมื่อวันที่ 7 เมษายน 2547 ผู้ร้องยื่นคำร้องต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 95 และมาตรา 22 เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2549 ขอให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ตามคำพิพากษาของศาลแพ่งคดีหมายเลขแดงที่ 9229/2538 แก่ผู้ร้อง เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์พิจารณาแล้วเห็นว่าสิทธิเรียกร้องตามคำพิพากษาของผู้ร้องพ้นกำหนดระยะเวลาในการบังคับคดีแล้ว เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงไม่อาจดำเนินการให้ได้ ให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2536 จำเลยทำสัญญากู้ยืมเงินจากผู้ร้องและนำที่ดินโฉนดเลขที่ 20421 และ 20422 ตำบลองครักษ์ อำเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายก มาจดทะเบียนจำนองประกันหนี้ ต่อมาจำเลยผิดนัดไม่ชำระหนี้ ผู้ร้องจึงฟ้องจำเลยให้ชำระหนี้และบังคับจำนองต่อศาลแพ่ง ศาลแพ่งมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2538 เป็นคดีหมายเลขแดงที่ 9229/2538 ให้จำเลยชำระหนี้แก่ผู้ร้อง หากไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดชำระหนี้ ต่อมาปรากฏว่าจำเลยถูกฟ้องเป็นคดีล้มละลาย และศาลล้มละลายกลางพิพากษาให้จำเลยล้มละลายแล้วการที่ผู้ร้องได้ยื่นคำร้องต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2549 ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 95 ในฐานะเจ้าหนี้มีประกันเพื่อขอให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยึดทรัพย์จำนองของจำเลยออกขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้แก่ผู้ร้องโดยอาศัยอำนาจของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 22 และที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีคำสั่งยกคำร้องเป็นการมิชอบ เนื่องจากเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีหน้าที่ในการชำระสะสางหนี้สินของลูกหนี้ รวมทั้งขายทอดตลาดทรัพย์จำนองของจำเลยแล้วนำเงินมาชำระหนี้แก่ผู้ร้อง เมื่อจำเลยถูกฟ้องเป็นคดีล้มละลายภายในระยะเวลาบังคับคดี ผู้ร้องไม่อาจดำเนินการยึดทรัพย์ของจำเลยได้ อีกทั้งปัจจุบันจำเลยยังเป็นบุคคลล้มละลายอยู่ ขอให้ศาลมีคำสั่งกลับคำวินิจฉัยของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ และสั่งให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ดำเนินการยึดทรัพย์จำนองและนำออกขายทอดตลาดแล้วนำเงินมาชำระหนี้แก่ผู้ร้องต่อไป
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยื่นคำคัดค้านว่า การที่ผู้ร้องยื่นคำร้องเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2549 ขอให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ดำเนินการยึดทรัพย์จำนองของจำเลยนำออกขายทอดตลาดแล้วนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่ผู้ร้องนั้น ผู้ร้องจะยื่นคำร้องตามเหตุดังกล่าวได้ผู้ร้องจะต้องมีสิทธิที่จะบังคับคดีได้อยู่ แต่ปรากฏว่า ผู้ร้องได้ฟ้องบังคับจำนองจนกระทั่งศาลแพ่งมีคำพิพากษาไปเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2538 ผู้ร้องจะต้องดำเนินการภายในกำหนดระยะเวลาในการบังคับคดี การที่ผู้ร้องละเลยไม่บังคับคดีภายในเวลาที่กฎหมายกำหนด จนล่วงเลยพ้นระยะเวลาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271 แล้ว ผู้ร้องจะอาศัยการที่ลูกหนี้ถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดมาเป็นข้ออ้างเพื่อจะให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จัดการทรัพย์สิน ถือเป็นการใช้สิทธิไม่สุจริต หากเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์อนุญาตให้ผู้ร้องดำเนินการได้ก็จะเป็นการขยายระยะเวลาบังคับคดีอันขัดต่อเจตนารมณ์ของกฎหมายและเป็นผลร้ายแก่จำเลย คำสั่งของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงชอบแล้ว ขอให้ยกคำร้อง
ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้ยกคำร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
ผู้ร้องอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2536 จำเลยทำสัญญากู้ยืมเงินกับผู้ร้องและนำที่ดินโฉนดเลขที่ 20421 และ 20422 ตำบลองครักษ์ อำเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายก มาจำนองประกันหนี้ในวงเงิน 2,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปี ต่อมาจำเลยผิดนัดไม่ชำระหนี้ ผู้ร้องจึงนำมูลหนี้ดังกล่าวฟ้องขอให้จำเลยชำระหนี้เงินกู้และบังคับจำนองต่อศาลแพ่ง ศาลมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2538 เป็นคดีหมายเลขแดงที่ 9229/2538 โดยพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 2,366,983.78 บาท แก่ผู้ร้องพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปีของต้นเงิน 2,027,812.74 บาท นับถัดวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ และค่าเบี้ยประกันภัยในแต่ละปีนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ หากไม่ชำระหรือชำระไม่ครบถ้วนให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 20421 และ 20422 ตำบลองครักษ์ อำเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายก ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่ผู้ร้อง ถ้าได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยออกขายทอดตลาดจนกว่าผู้ร้องจะได้รับชำระหนี้ครบถ้วนและให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท ต่อมาเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2546 ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาด และพิพากษาให้จำเลยล้มละลายเมื่อวันที่ 7 เมษายน 2547 และเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2549 ผู้ร้องได้ยื่นคำร้องขอให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ดำเนินการยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดแล้วนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่ผู้ร้อง มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่าผู้ร้องมีสิทธิยื่นคำร้องตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 95 ขอให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดแล้วนำเงินมาชำระหนี้แก่ผู้ร้องหรือไม่ เห็นว่า เมื่อผู้ร้องได้นำหนี้กู้ยืมและจำนองดังกล่าวไปฟ้องต่อศาลแพ่งขอให้จำเลยชำระหนี้กู้ยืมและบังคับจำนองจนศาลได้มีคำพิพากษาเป็นคดีหมายเลขแดงที่ 9229/2538 แล้ว ผู้ร้องมีสิทธิบังคับคดีได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271 ซึ่งบัญญัติว่า ถ้าคู่ความหรือบุคคลซึ่งเป็นฝ่ายแพ้คดี (ลูกหนี้ตามคำพิพากษา) มิได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลทั้งหมดหรือบางส่วน คู่ความหรือบุคคลซึ่งเป็นฝ่ายชนะคดี (เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา) ชอบที่จะร้องขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นได้ภายใน 10 ปี นับแต่วันมีคำพิพากษาหรือคำสั่งโดยอาศัยและตามคำบังคับที่ออกตามคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้น เมื่อศาลแพ่งได้มีคำพิพากษาในคดีหมายเลขแดงที่ 9229/2538 เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2538 ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ดำเนินการยึดทรัพย์จำนองวันที่ 7 มิถุนายน 2549 พ้นกำหนดระยะเวลา 10 ปี นับแต่วันที่ศาลแพ่งมีคำพิพากษาแล้ว ส่วนที่ว่าในขณะที่ผู้ร้องยังมีสิทธิบังคับคดี ศาลได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2546 ทำให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่เพียงผู้เดียวมีอำนาจในการจัดการทรัพย์สินของลูกหนี้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 22 นั้น แต่คำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ดังกล่าวไม่กระทบถึงสิทธิของผู้ร้องซึ่งเป็นเจ้าหนี้มีประกันในการที่จะบังคับชำระหนี้เอาแก่ทรัพย์สินอันเป็นหลักประกัน ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 110 วรรคสาม เมื่อผู้ร้องมิได้ดำเนินการบังคับคดีจนล่วงเลยระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้ผู้ร้องย่อมหมดสิทธิในการบังคับคดีในมูลหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวแต่อย่างไรก็ตาม แม้ว่าสิทธิในการบังคับคดีในมูลหนี้ตามคำพิพากษาอันเป็นหนี้ประธานนั้นจะเป็นอันสิ้นไป แต่ผู้ร้องก็ยังมีสิทธิจะได้รับชำระหนี้ในฐานะผู้รับจำนองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา745 ในหนี้จำนองเป็นเงิน 2,000,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปี ที่ค้างชำระเป็นเวลา 5 ปี เช่นนี้ ผู้ร้องจึงมีสิทธิขอให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ดำเนินการยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดเพื่อนำเงินมาชำระหนี้แก่ผู้ร้องในจำนวนดังกล่าวได้”
พิพากษากลับเป็นว่า ให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ดำเนินการยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่ผู้ร้องไม่เกินหนี้จำนองจำนวน 2,000,000 บาท กับดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปี ที่ค้างชำระเป็นเวลา 5 ปี ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ