คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8269/2544

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ข้อเท็จจริงในคดีอาญาที่คดีแพ่งจะต้องถือตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 นั้น ต้องเป็นข้อเท็จจริงที่วินิจฉัยไว้ในคดีอาญาแล้ว เมื่อคดีอาญาศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงเพียงว่ามีเหตุให้จำเลยเข้าใจโดยสุจริตว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยที่ดินพิพาทอาจเป็นของจำเลยก็ได้ ยังฟังไม่ได้แจ้งชัดว่าเป็นของโจทก์ตามพยานหลักฐานที่โจทก์และจำเลยนำสืบเห็นได้ว่าทั้งสองฝ่ายยังโต้เถียงสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทจึงเท่ากับว่าคดีดังกล่าวศาลฎีกายังไม่ได้วินิจฉัยชี้ขาดว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือจำเลย จึงรับฟังเป็นยุติในคดีนี้ไม่ได้ว่าที่ดินพิพาทไม่ได้เป็นของโจทก์
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยบุกรุกที่พิพาทโดยล้อมรั้วครอบครองอยู่ประมาณ 50 ตารางวา ขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนรั้วออกไปและเรียกค่าเสียหาย จำเลยให้การว่าจำเลยล้อมรั้วบริเวณที่ดินที่จำเลยครอบครอง ไม่ได้รุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ ขอให้ยกฟ้องดังนี้ กรณีเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิครอบครองในที่พิพาทจึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ เมื่อที่พิพาทขณะโจทก์ยื่นฟ้องมีราคา 10,000 บาทจึงต้องห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 วรรคหนึ่ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้ครอบครองที่ดิน น.ส.3 ก. เลขที่ 3341 เนื้อที่ 1 งาน 73 ตารางวา ระหว่างเดือนมิถุนายนถึงเดือนสิงหาคม 2536 จำเลยบุกรุกเข้ามาในที่ดินที่โจทก์ครอบครองทางด้านทิศตะวันตกโดยล้อมรั้วเข้ามาในที่ดินเป็นเนื้อที่ประมาณ 50 ตารางวา โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยรื้อถอนรั้วออกไปจากที่ดินที่โจทก์ครอบครอง แต่จำเลยเพิกเฉย ทำให้โจทก์เสียหาย โจทก์ขอคิดค่าเสียหายเดือนละ 1,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป ขอให้บังคับจำเลยให้รื้อถอนรั้วออกไปจากที่ดิน น.ส.3 ก.เลขที่ 3341 ตำบลเชียงยืน อำเภอเชียงยืน จังหวัดมหาสารคาม ห้ามจำเลยเข้ายุ่งเกี่ยวอีกต่อไป ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 1,000 บาทนับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจำเลยจะยอมรื้อถอนออกไปจากที่ดินที่โจทก์ครอบครอง

จำเลยให้การว่า จำเลยล้อมรั้วบริเวณที่ดินที่จำเลยครอบครองตั้งแต่ปี 2534 ไม่ได้รุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนรั้วออกไปจากที่ดิน น.ส.3 ก.เลขที่ 3341 ตำบลเชียงยืน อำเภอเชียงยืน จังหวัดมหาสารคาม ห้ามจำเลยเข้ายุ่งเกี่ยวในที่ดินดังกล่าวต่อไป ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์เดือนละ 500 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะรื้อถอนรั้วและออกไปจากที่ดินที่โจทก์ครอบครอง

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยในปัญหาข้อกฎหมายข้อแรกว่า การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า แม้คดีนี้เป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8015/2540 แต่คดีอาญาดังกล่าวศาลฎีกายังไม่ได้วินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือจำเลย จึงรับฟังเป็นยุติในคดีนี้ไม่ได้ว่าที่ดินพิพาทไม่ได้เป็นของโจทก์นั้น ชอบหรือไม่เห็นว่า ข้อเท็จจริงในคดีอาญาที่คดีแพ่งจะต้องถือตามดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 นั้น ต้องเป็นข้อเท็จจริงที่วินิจฉัยไว้โดยตรงในคดีอาญาแล้ว เมื่อคดีดังกล่าวศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงเพียงว่ามีเหตุให้จำเลยเข้าใจโดยสุจริตว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยที่ดินพิพาทอาจเป็นของจำเลยก็ได้ ยังฟังไม่ได้แจ้งชัดว่าเป็นของโจทก์ตามพยานหลักฐานที่โจทก์และจำเลยนำสืบเห็นได้ว่าทั้งสองฝ่ายยังโต้เถียงสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท จึงเท่ากับว่าคดีดังกล่าว ศาลฎีกายังไม่ได้วินิจฉัยชี้ขาดว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือจำเลย คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 4 ที่ว่า ศาลฎีกายังไม่ได้วินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือจำเลย จึงรับฟังเป็นยุติในคดีนี้ไม่ได้ว่าที่ดินพิพาทไม่ได้เป็นของโจทก์จึงชอบแล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อต่อไปว่า คดีนี้เป็นคดีมีทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์ไม่เกินห้าหมื่นบาท ซึ่งต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4วินิจฉัยมาหรือไม่ เห็นว่า โจทก์ฟ้องว่าจำเลยบุกรุกที่พิพาทโดยล้อมรั้วในที่ดินที่โจทก์ครอบครองอยู่เป็นเนื้อที่ประมาณ 50 ตารางวา โดยมีเจตนายึดถือเป็นของจำเลย ขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนรั้วออกไปและเรียกค่าเสียหาย จำเลยให้การว่าจำเลยล้อมรั้วบริเวณที่ดินที่จำเลยครอบครองไม่ได้รุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ ขอให้ยกฟ้องดังนี้ กรณีเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิครอบครองในที่พิพาทจึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์เมื่อที่พิพาทขณะโจทก์ยื่นฟ้องมีราคา 10,000 บาท ซึ่งเป็นทุนทรัพย์ในคดีนี้จึงต้องห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 วรรคหนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4วินิจฉัยมาจึงชอบแล้ว อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้นทั้งสองข้อ”

พิพากษายืน

Share