แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้โจทก์ทั้งสองจะไม่ได้บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 4 รับประกันภัยรถยนต์ไว้จากผู้ใด แต่ตามเอกสารท้ายคำฟ้อง ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้อง คือสัญญาประกันภัยรถยนต์คันดังกล่าว ระบุชื่อจำเลยที่ 2 เป็นผู้เอาประกันภัย และ จำเลยที่ 4 เป็นผู้รับประกันภัย ดังนี้ ถือว่าคำฟ้องของโจทก์ทั้งสองแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์ทั้งสองและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นแล้ว
ย่อยาว
โจทก์ทั้งสองฟ้องว่า ผู้ตายทั้งสองขับรถจักรยานยนต์แล่นมาตามถนนนนทบุรี 1 มุ่งหน้าไปสนามบินน้ำ เมื่อถึงที่เกิดเหตุใกล้ทางเข้าวัดแคนอกได้ถูกเฉี่ยวชนโดยรถยนต์บรรทุกพ่วงของจำเลยที่ 2 และที่ 3 มีจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้างกระทำในทางการที่จ้างเป็นผู้ขับด้วยความเร็วสูงส่ายไปมาด้วยความประมาทเป็นเหตุให้นายทนงศักดิ์ และ นางสาวทองถึงแก่ความตาย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ชำระเงินให้แก่โจทก์ที่ 1 จำนวน 304,800 บาท พร้อมดอกเบี้ย อัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ และให้จำเลยทั้งสี่ชำระเงินให้แก่โจทก์ที่ 2 จำนวน 286,700 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ให้การขอให้ยกฟ้อง
ก่อนสืบพยานโจทก์ โจทก์ทั้งสองขอถอนฟ้องจำเลยที่ 3 ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ที่ 1 เป็นเงิน 268,300 บาท โจทก์ที่ 2 เป็นเงิน 274,200 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงินแต่ละจำนวน นับถัดจากวันฟ้อง (วันที่ 16 ธันวาคม 2537) จนกว่าจะชำระเสร็จ กับให้จำเลยที่ 4 ร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนดังกล่าวแก่โจทก์แต่ละคนในวงเงิน 150,000 บาท ให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ทั้งสอง โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท สำหรับค่าขึ้นศาลให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 รับผิดเพียงเท่าจำนวนทุนทรัพย์ที่โจทก์ทั้งสองชนะคดี
จำเลยที่ 4 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 4 ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลสำหรับ จำเลยที่ 4 ให้เป็นพับ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
โจทก์ทั้งสองฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า แม้โจทก์ทั้งสองจะไม่ได้บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 4 รับประกันภัยรถยนต์ไว้จากผู้ใดก็ตาม แต่ตามเอกสารท้ายคำฟ้องซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้องนั้น คือสัญญาประกันภัยรถยนต์คันดังกล่าว โดยมีชื่อจำเลยที่ 2 เป็นผู้เอาประกันภัย และจำเลยที่ 4 เป็นผู้รับประกันภัย ดังนี้ ถือว่าคำฟ้องของโจทก์ทั้งสองแสดงโดยแจ้งชัดซึ่ง สภาพแห่งข้อหาของโจทก์ทั้งสองและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นแล้ว ส่วนเรื่องที่ว่า จำเลยที่ 4 จะต้องรับผิดตามกรมธรรม์คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถหรือตามกรมธรรม์ประกันภัยทั่วไปอย่างไร เป็นจำนวนเงินเท่าใดนั้น เป็นรายละเอียดที่โจทก์ทั้งสองสามารถนำสืบได้ในชั้นพิจารณา ฟ้องโจทก์ทั้งสอง จึงไม่เคลือบคลุม
พิพากษาแก้เป็นว่า จำนวนค่าสินไหมทดแทนที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ต้องรับผิดต่อโจทก์ทั้งสองนั้น ให้จำเลยที่ 4 ร่วมรับผิดชำระแก่โจทก์ทั้งสองแต่ละคนด้วยเป็นเงินคนละ 100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสอง คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาจำนวน 7,335 บาท แก่โจทก์ทั้งสอง ให้จำเลยที่ 4 ร่วมกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นแทนโจทก์ทั้งสองตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น กับให้จำเลยที่ 4 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาแทนโจทก์ทั้งสองโดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2.