แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ในคดีอุกฉกรรจ์เปนหน้าที่โจทจะต้องนำสืบไห้เปนที่พอไจของสาลว่าจำเลยได้จะทำผิดจิงไม่ว่าจะเปนคดีจำเลยไห้การต่อสู้ไปไนทางป้องกันหรือไม่
ย่อยาว
โจทฟ้องว่าจำเลยสมคบกันทำร้ายร่างกายนายวันมีบาดเจ็บสาหัสโดยเจตนาค่าและนายวันได้ขาดไจตายไนวันต่อมาเพราะพิสบาดแผลนั้น ขอไห้ลงโทส
นายชื้นไห้การภาคเสธ นายรุนไห้การปติเสธ
สาลชั้นต้นพิจารนาแล้วพิพากสายกฟ้องโจท
โจทอุธรน์ สาลอุธรน์พิพาสสายืน
โจทดีกาไนปัญหาข้อกดหมายว่าเมื่อจำเลยไห้การรับว่าได้ทำร้ายผู้ตาย แต่ต่อสู้ว่าป้องกันตัวแล้วก็เปนหน้าที่จำเลยจะต้องนำสืบข้อป้องกันตัวตามข้อต่อสู้ สาลดีกาเห็นว่าคดีนี้ โจทฟ้องขอไห้ลงโทสจำเลยตามมาตรา ๒๔๙ กดหมายลักสนะอาณาซึ่งมีอัตราโทสจำคุกตั้งแต่ ๑๕ ปีขึ้นไป จึงหยู่ไนข้อบังคับมาตรา ๑๗๖ ประมวนวิธีพิจารนาความอาณา ซึ่งสาลดีกาเห็นว่ามาตรา ๑๗๖ บัณณัติไว้ชัดว่า คดีชนิดนี้ “สาลต้องฟังพยานโจทจนกว่าจะพอไจว่าจำเลยได้กะทำผิดจิง ” แต่คดีนี้สาลล่างวินิฉัยข้อเท็จจิงมาแล้วว่าพยานโจทไม่เปนที่พอไจสาลว่าจำเลยได้กะทำผิดจิงซึ่งโจทก็มิได้คัดค้านข้อนี้หย่างไรไนเมื่อสาลชั้นต้นสั่งไม่รับดีกา สาลดีกาจึงเห็นว่าเมื่อชั้นนี้พยานโจทไม่เปนที่พอไจสาลว่าจำเลยได้กะทำผิดจิงแล้ว ก็ไม่จำเปนต้องฟังคำพยานจำเลยต่อไปและไม่มีกดหมายไดบังคับไนกรนีเช่นนี้ จึงพิพากสายืนตาม