คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 252/2547

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ความในมาตรา 125 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541ที่บัญญัติว่าในกรณีที่นายจ้างหรือลูกจ้างไม่นำคดีไปสู่ศาลภายในกำหนดให้คำสั่งนั้นเป็นที่สุดนั้นต่อเนื่องมาจากความในวรรคหนึ่งที่ว่าเมื่อพนักงานตรวจแรงงานมีคำสั่งตามมาตรา 124 แล้ว ถ้านายจ้างหรือลูกจ้างไม่พอใจคำสั่งนั้นให้นำคดีไปสู่ศาลได้ภายใน 30วัน นับแต่วันทราบคำสั่ง ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสหรือให้สิทธิแก่นายจ้างหรือลูกจ้างที่ไม่เห็นชอบด้วยกับคำสั่งนำคดีไปฟ้องศาลเพื่อให้ตรวจสอบคำสั่งดังกล่าวอีกชั้นหนึ่ง แต่หากนายจ้างหรือลูกจ้างไม่ประสงค์จะใช้สิทธิดังกล่าวแสดงว่านายจ้างหรือลูกจ้างไม่มีข้อโต้แย้งคำสั่งดังกล่าว ความในวรรคสองจึงบัญญัติให้เป็นที่สุด ซึ่งหมายถึงเป็นที่สุดสำหรับนายจ้างหรือลูกจ้างด้วย มิใช่เป็นที่สุดเฉพาะในทางบริหาร
เมื่อศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าคำสั่งของพนักงานตรวจแรงงานเป็นที่สุดจำเลยที่ 1 มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตาม จึงเป็นปริยายว่าจำเลยที่ 1 ไม่อาจโต้แย้งหรือยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้อีกได้ กรณีมิใช่เรื่องการนำบทบัญญัติมาตรา 8 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตัดสิทธิในการต่อสู้คดีของจำเลยที่ 1 ไม่เป็นการบังคับใช้หรือตีความกฎหมายโดยไม่ชอบ
จำเลยที่ 2 เป็นผู้ทำแผนฟื้นฟูกิจการ มีอำนาจหน้าที่ในการจัดการกิจการของจำเลยที่ 1 ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 90/25 จึงเป็นผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ 1 มีฐานะเป็นนายจ้างตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานพ.ศ. 2541 มาตรา 5 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ในค่าชดเชยต่อโจทก์แต่ไม่ต้องรับผิดเป็นส่วนตัว ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 1 จ่ายค่าชดเชยให้โจทก์โดยไม่ได้ระบุว่าจำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิดเป็นส่วนตัว ศาลฎีกาจึงแก้ไขเสียให้ถูกต้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2535 จำเลยที่ 1 จ้างโจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้าง ตำแหน่งหัวหน้างาน ค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 130,000 บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันที่ 27 ของเดือน ต่อมาเมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2544 ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งตั้งจำเลยที่ 2 เป็นผู้ทำแผนฟื้นฟูกิจการของจำเลยที่ 1 และเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน2544 จำเลยที่ 2 เลิกจ้างโจทก์โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2544 จำเลยที่ 2 จ่ายค่าจ้างจนถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2544 แต่ไม่จ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์ โจทก์จึงยื่นคำร้องต่อพนักงานตรวจแรงงาน ณ สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดชลบุรี และเมื่อวันที่ 29 มกราคม 2545 พนักงานตรวจแรงงานมีคำสั่งที่ 16/2545 ให้จำเลยที่ 2จ่ายค่าชดเชยจำนวน 780,000 บาท แก่โจทก์ภายใน 15 วัน นับแต่ทราบคำสั่ง แต่จำเลยที่ 2 ไม่ปฏิบัติตาม ต่อมาวันที่ 26 สิงหาคม 2545 โจทก์ยื่นคำร้องขออนุญาตดำเนินคดีแก่จำเลยทั้งสองที่ศาลแรงงานกลางต่อศาลล้มละลายกลางและได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีแก่จำเลยทั้งสองได้ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันจ่ายค่าชดเชย780,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ไม่เห็นพ้องด้วยกับคำสั่งที่ 16/2545 ลงวันที่ 29มกราคม 2545 ของพนักงานตรวจแรงงาน แต่มิได้ยื่นฟ้องเพื่อเพิกถอนคำสั่งดังกล่าวเนื่องจากเข้าใจโดยสุจริตว่าโจทก์ต้องมายื่นคำร้องต่อศาลล้มละลายกลางเพื่อขอรับชำระหนี้ ทั้งนี้จำเลยที่ 1 เลิกจ้างโจทก์ซึ่งทำงานในโครงการผลิตเหล็กพรุนอันมิใช่งานปกติธุรกิจของจำเลยที่ 1 และเป็นสัญญาจ้างที่มีกำหนดระยะเวลากล่าวคือสัญญาจ้างฉบับที่ 1 ลงวันที่ 1 พฤศจิกายน 2539 มีอายุ 1 ปี และสิ้นสุดในวันที่ 17 พฤศจิกายน2540 สัญญาจ้างฉบับที่ 2 ลงวันที่ 30 เมษายน 2541 แก้ไขเพิ่มเติมสัญญาจ้างฉบับที่ 1โดยขยายระยะเวลาการจ้างไปจนถึงวันที่ 30 เมษายน 2542 และสัญญาจ้างฉบับที่ 3ลงวันที่ 3 พฤษภาคม 2542 โจทก์กับจำเลยที่ 1 ตกลงต่ออายุสัญญาจ้างกันเดือนต่อเดือน แต่ในปี 2540 เกิดวิกฤตทางเศรษฐกิจของประเทศส่งผลกระทบต่อกิจการของจำเลยที่ 1 อย่างรุนแรงโดยขาดสภาพคล่องทางการเงิน จำเป็นต้องยกเลิกโครงการ จำเลยที่ 1 จึงมีสิทธิเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย อย่างไรก็ตามเมื่อนับระยะเวลาจ้างตามสัญญาจ้างฉบับที่ 3 ตั้งแต่วันที่ลงในสัญญาคือวันที่ 3 พฤษภาคม 2542 จนถึงวันที่ 8 พฤศจิกายน 2544 อันเป็นวันที่บอกเลิกจ้างโจทก์ โจทก์ทำงานมาเพียง 2 ปี6 เดือน ยังไม่ครบ 3 ปี มีสิทธิได้รับค่าชดเชยไม่เกินค่าจ้างอัตราสุดท้าย 90 วัน ดังนั้นการที่พนักงานตรวจแรงงานมีคำสั่งให้โจทก์ได้รับค่าชดเชยเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย6 เดือน จึงเป็นการสั่งโดยผิดหลงและไม่ถูกต้องตามความเป็นจริง ขอให้ยกฟ้อง

จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 2 เลิกจ้างโจทก์เป็นการใช้อำนาจในการจัดการกิจการของจำเลยที่ 1 ภายใต้กฎหมายล้มละลายว่าด้วยการฟื้นฟูกิจการ จำเลยที่ 2ไม่ต้องรับผิดเป็นส่วนตัว และคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานที่ 16/2545 ให้จำเลยที่ 1 จ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์ โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องเรียกค่าชดเชยจากจำเลยที่ 2 ขอให้ยกฟ้อง

ในวันนัดพิจารณาและสืบพยานโจทก์ จำเลยทั้งสองแถลงรับว่า จำเลยทั้งสองทราบคำสั่งของพนักงานตรวจแรงงานตามเอกสารท้ายคำฟ้องของโจทก์แล้ว และมิได้ยื่นฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งดังกล่าวภายในเวลาที่กฎหมายกำหนด ศาลแรงงานกลางเห็นว่าไม่มีประเด็นข้อพิพาทในเรื่องดังกล่าวจึงงดสืบพยาน

ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า เมื่อคำสั่งของพนักงานตรวจแรงงานเป็นที่สุดแล้วจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นนายจ้างของโจทก์ตามกฎหมาย จึงมีหน้าที่ปฏิบัติตามคำสั่งดังกล่าวและโจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองเพราะได้รับอนุญาตจากศาลล้มละลายกลางให้ยื่นฟ้องจำเลยทั้งสองได้ และคำฟ้องโจทก์ไม่ได้ขอให้บังคับจำเลยที่ 2 ในฐานะส่วนตัวพิพากษาให้จำเลยทั้งสองจ่ายค่าชดเชยเป็นเงิน 780,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ว่า คำวินิจฉัยของศาลแรงงานกลางที่ว่าคำสั่งของพนักงานตรวจแรงงานเป็นที่สุดจำเลยที่ 1 มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามชอบหรือไม่ จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ว่ากรณีที่คำสั่งของพนักงานตรวจแรงงานเป็นที่สุดตามความในมาตรา 125 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 หมายถึงเป็นที่สุดเฉพาะในทางบริหารเท่านั้น ไม่อาจนำมาเป็นข้อจำกัดสิทธิหรือตัดสิทธิของจำเลยที่ 1 ในการต่อสู้คดีได้นั้น เห็นว่า ความในมาตรา 125วรรคสอง ที่บัญญัติว่าในกรณีที่นายจ้างหรือลูกจ้างไม่นำคดีไปสู่ศาลภายในกำหนดให้คำสั่งนั้นเป็นที่สุดนั้น ต่อเนื่องมาจากความในวรรคหนึ่งที่ว่าเมื่อพนักงานตรวจแรงงานมีคำสั่งตามมาตรา 124 แล้ว ถ้านายจ้างหรือลูกจ้างไม่พอใจคำสั่งนั้นให้นำคดีไปสู่ศาลได้ภายใน 30 วัน นับแต่วันทราบคำสั่ง ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสหรือให้สิทธิแก่นายจ้างหรือลูกจ้างที่ไม่เห็นชอบด้วยกับคำสั่งนำคดีไปฟ้องศาลเพื่อให้ตรวจสอบคำสั่งดังกล่าวอีกชั้นหนึ่ง แต่หากนายจ้างหรือลูกจ้างไม่ประสงค์จะใช้สิทธิดังกล่าว แสดงว่านายจ้างหรือลูกจ้างไม่มีข้อโต้แย้งคำสั่งดังกล่าว ความในวรรคสองจึงบัญญัติให้เป็นที่สุด ซึ่งหมายถึงเป็นที่สุดสำหรับนายจ้างหรือลูกจ้างด้วย มิใช่เป็นที่สุดเฉพาะในทางบริหารดังจำเลยที่ 1 อ้างแต่อย่างใดที่จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ต่อไปว่า บทบัญญัติในมาตรา 8 วรรคสองแห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 เป็นบทบังคับแก่ผู้ที่นำคดีมาสู่ศาลซึ่งต้องปฏิบัติหรือดำเนินการก่อนจึงจะฟ้องคดีต่อศาลได้ แต่ศาลแรงงานกลางกลับนำบทบัญญัติดังกล่าวมาตัดสิทธิในการต่อสู้คดีของจำเลยที่ 1เป็นการใช้หรือตีความกฎหมายโดยไม่ชอบนั้น เห็นว่า เมื่อศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าคำสั่งของพนักงานตรวจแรงงานเป็นที่สุดจำเลยที่ 1 มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตาม จึงเป็นปริยายว่าจำเลยที่ 1 ไม่อาจโต้แย้งหรือยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้อีกได้ กรณีมิใช่เรื่องการนำบทบัญญัติแห่งมาตรา 8 วรรคสอง มาตัดสิทธิในการต่อสู้คดีของจำเลยที่ 1 ไม่เป็นการบังคับใช้หรือตีความกฎหมายโดยไม่ชอบดังจำเลยที่ 1 อ้างแต่อย่างใด คำวินิจฉัยของศาลแรงงานกลางชอบแล้ว อุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ข้ออื่นของจำเลยที่ 1 เพราะไม่ทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลงไป

อนึ่ง จำเลยที่ 2 เป็นผู้ทำแผนฟื้นฟูกิจการ มีอำนาจหน้าที่ในการจัดการกิจการของจำเลยที่ 1 ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 90/25 จึงเป็นผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ 1 มีฐานะเป็นนายจ้างตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานพ.ศ. 2541 มาตรา 5 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ในค่าชดเชยต่อโจทก์แต่ไม่ต้องรับผิดเป็นส่วนตัว ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 1 จ่ายค่าชดเชยให้โจทก์โดยไม่ได้ระบุว่าจำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิดเป็นส่วนตัวนั้น ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้อง

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 1 จ่ายค่าชดเชยพร้อมดอกเบี้ยให้โจทก์ แต่จำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิดเป็นส่วนตัวนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง”

Share