คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8107/2544

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าเดิมที่ดินพิพาทเป็นของ ด. บิดาจำเลย ต่อมาก่อน ด. จะถึงแก่ความตาย ด. ได้ขายให้โจทก์โดยการส่งมอบ โจทก์ได้เข้าครอบครองที่ดินพิพาทโดยเจตนายึดถือเพื่อตนตลอดมา จึงได้สิทธิครอบครอง จำเลยให้การว่า ด. ไม่เคยขายที่ดินพิพาทให้โจทก์ โจทก์ครอบครองที่ดินพิพาทเพื่อทำกินต่างดอกเบี้ย มิได้ครอบครองเพื่อตน หลังจาก ด. ถึงแก่ความตายโจทก์จำเลยฟ้องร้องกันเป็นคดีอาญาและต่างฝ่ายต่างถอนฟ้องไปแล้วจำเลยได้กลับเข้าครอบครองที่ดินพิพาท เพราะเป็นของจำเลย แสดงว่าจำเลยอ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยมาตั้งแต่ต้นไม่เคยตกเป็นของโจทก์ กรณีจึงไม่อาจมีปัญหาเรื่องการแย่งการครอบครอง เพราะการแย่งการครอบครองจะเกิดขึ้นได้ก็แต่เฉพาะในที่ดินของผู้อื่น จึงไม่มีประเด็นข้อพิพาทว่าโจทก์ฟ้องคดีเพื่อเอาคืนการครอบครองภายใน 1 ปีนับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครองหรือไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทให้จำเลยและบริวารรื้อถอนสิ่งของต่าง ๆ ออกไปจากที่ดินพิพาท ห้ามไม่ให้เกี่ยวข้องต่อไป

จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) เลขที่ 70 หมู่ที่ 4 ตำบลโนนคอม อำเภอชุมแพ (ปัจจุบันเป็นอำเภอภูผาม่าน) จังหวัดขอนแก่น บริเวณตามแผนที่พิพาท ให้จำเลยและบริวารรื้อถอนสิ่งของออกไปจากที่ดินดังกล่าว ห้ามไม่ให้เข้าเกี่ยวข้อง

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “สำหรับปัญหาข้อที่จำเลยฎีกาว่า สัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทเอกสารหมาย จ.1 เป็นเอกสารปลอม นายแดงไม่ได้เป็นผู้ทำสัญญาฉบับดังกล่าวนั้น เห็นว่า คดีนี้เป็นคดีมีราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกิน 200,000 บาท ต้องห้ามไม่ให้ฎีกาในข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคหนึ่ง ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิเคราะห์คำเบิกความของพยานโจทก์พยานจำเลยประกอบเอกสารหมาย จ.1, จ.2 และ ล.5 แล้ววินิจฉัยว่าพยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานจำเลยข้อเท็จจริงฟังได้ว่านายแดงทำสัญญาขายที่ดินพิพาทเอกสารหมาย จ.1ให้โจทก์ เอกสารดังกล่าวไม่ใช่เอกสารปลอม จำเลยฎีกาโดยอ้างเหตุผลต่าง ๆ เพื่อให้รับฟังว่านายแดงไม่ได้ทำสัญญาขายที่ดินพิพาทให้โจทก์สัญญาขายที่ดินพิพาทเอกสารหมาย จ.1 เป็นเอกสารปลอม เห็นได้ว่าจำเลยฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 4 เป็นการฎีกาในข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามบทมาตราดังกล่าว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

ส่วนปัญหาข้อที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ฟ้องเรียกคืนการครอบครองที่ดินพิพาทเกิน 1 ปี นับแต่วันที่จำเลยรบกวนการครอบครองของโจทก์ จึงหมดสิทธิเรียกคืนการครอบครองที่ดินพิพาทนั้น เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า เดิมที่ดินพิพาทเป็นของนายแดง มาเขียว บิดาจำเลย ต่อมาก่อนนายแดงจะถึงแก่ความตายนายแดงได้ขายให้โจทก์โดยการส่งมอบ โจทก์ได้เข้าครอบครองที่ดินพิพาทโดยเจตนายึดถือเพื่อตนตลอดมา จึงได้สิทธิครอบครอง จำเลยให้การว่านายแดงไม่เคยขายที่ดินพิพาทให้โจทก์ โจทก์ครอบครองที่ดินพิพาทเพื่อทำกินต่างดอกเบี้ยมิได้ครอบครองเพื่อตน หลังจากนายแดงถึงแก่ความตายโจทก์จำเลยเกิดฟ้องร้องกันเป็นคดีอาญาและต่างฝ่ายต่างถอนฟ้องไปแล้ว จำเลยได้กลับเข้าครอบครองที่ดินพิพาท เพราะเป็นของจำเลย แสดงว่าจำเลยอ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยมาตั้งแต่ต้น ไม่เคยตกเป็นของโจทก์ กรณีจึงไม่อาจมีปัญหาเรื่องการแย่งการครอบครอง เพราะการแย่งการครอบครองจะเกิดขึ้นได้ก็แต่เฉพาะในที่ดินของผู้อื่น จึงไม่มีประเด็นข้อพิพาทว่า โจทก์ฟ้องคดีเพื่อเอาคืนการครอบครองภายใน 1 ปี นับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครองหรือไม่ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 4 วินิจฉัยประเด็นดังกล่าวจึงเป็นการไม่ชอบ ถือว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 4 ต้องห้ามไม่ให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยเช่นกัน”

พิพากษายกฎีกาจำเลย

Share