แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ผู้ร้องเป็นผู้ครอบครองโฉนดที่ดินเพราะจำเลยมอบให้ยึดถือเป็นประกันเงินกู้ผู้ร้องจึงมีสิทธิยึดถือโฉนดที่ดินไว้จนกว่าจะได้รับชำระหนี้คืน แต่เป็นเพียงบุคคลสิทธิที่บังคับกันได้ระหว่างคู่สัญญาไม่สามารถใช้ยันแก่บุคคลอื่นได้ กรณีมิใช่สิทธิยึดหน่วงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 241 เพราะหนี้ที่ผู้ร้องมีเป็นเพียงหนี้เงินกู้ที่ผู้ร้องจะได้รับชำระคืนเท่านั้นหาได้เป็นคุณแก่ผู้ร้องเกี่ยวด้วยที่ดินโฉนดดังกล่าวไม่ เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีทำการบังคับคดีแก่ที่ดินดังกล่าว ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิยึดโฉนดที่ดินดังกล่าวได้
การที่ผู้ร้องอ้างว่า จำเลยนำโฉนดที่ดินมาจำนองเป็นประกันเงินกู้แต่ยังมิได้จดทะเบียนจำนอง โดยจำเลยมอบโฉนดที่ดินให้ผู้ร้องยึดถือไว้ก่อนเพื่อให้เห็นว่าตนมีสิทธิยึดหน่วงในโฉนดที่ดินนั้น ผู้ร้องต้องอ้างมาในคำร้องด้วย จะนำสืบในชั้นไต่สวนคำร้องหาได้ไม่ เพราะมิใช่ข้อเท็จจริงอันเป็นเพียงรายละเอียดหรือข้อเท็จจริงที่เป็นส่วนหนึ่งของข้อเท็จจริงที่กล่าวมาในคำร้องของผู้ร้อง และแม้จะเป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยแต่เมื่อเป็นข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ภาค 4 ก็ชอบที่จะไม่รับวินิจฉัยให้
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 1877 ตำบลหว้านใหญ่ กิ่งอำเภอหว้านใหญ่ (ปัจจุบันเป็นอำเภอหว้านใหญ่)จังหวัดมุกดาหาร และส่งมอบโฉนดที่ดินแก่โจทก์ หากจำเลยไม่สามารถโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่โจทก์ได้ ให้ชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 500,000 บาท คดีถึงที่สุดแล้ว แต่จำเลยไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา โจทก์ขอให้ศาลออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีและเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 1877 พร้อมสิ่งปลูกสร้างเพื่อนำออกขายทอดตลาด ต่อมาเจ้าพนักงานบังคับคดีรายงานต่อศาลชั้นต้นว่าต้นฉบับโฉนดที่ดินดังกล่าวอยู่ในความครอบครองของผู้ร้องขอให้หมายเรียกให้ผู้ร้องส่งต้นฉบับโฉนดที่ดินเลขที่ 1877 เพื่อบังคับคดีต่อไป ศาลชั้นต้นมีคำสั่งตามที่เจ้าพนักงานบังคับคดีร้องขอ
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า จำเลยได้นำโฉนดที่ดินเลขที่ 1877 มอบให้ผู้ร้องยึดถือไว้เป็นประกันหนี้เงินกู้ที่จำเลยกู้ยืมเงินผู้ร้อง ผู้ร้องจึงมีสิทธิยึดหน่วงโฉนดที่ดินดังกล่าวจนกว่าจำเลยจะชำระหนี้กู้ยืมให้แก่ผู้ร้อง ขอให้ยกเลิกคำสั่งเรียกพยานเอกสารและให้ผู้ร้องยึดหน่วงโฉนดที่ดินดังกล่าวไว้จนกว่าจะได้รับชำระหนี้
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า สิทธิยึดถือโฉนดที่ดินของผู้ร้องไม่ใช่สิทธิยึดหน่วงตามกฎหมาย ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องว่า ผู้ร้องมีสิทธิยึดหน่วงโฉนดที่ดินฉบับพิพาทหรือไม่ เห็นว่า ผู้ร้องเป็นผู้ครอบครองโฉนดที่ดินก็โดยจำเลยผู้เป็นลูกหนี้เงินกู้มอบให้ยึดถือเป็นประกันเงินกู้ตามหนังสือสัญญากู้เงินเอกสารท้ายคำร้อง ผู้ร้องจึงมีสิทธิยึดถือโฉนดที่ดินไว้เป็นประกันการชำระหนี้เงินกู้จนกว่าจะได้รับชำระหนี้คืนโดยอาศัยข้อตกลงในหนังสือสัญญากู้เงินดังกล่าวนั้นเอง แต่สิทธิยึดถือโฉนดที่ดินดังกล่าวเป็นเพียงบุคคลสิทธิบังคับกันได้ระหว่างคู่สัญญาไม่สามารถใช้ยันแก่บุคคลอื่นได้ ส่วนสิทธิยึดหน่วงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 241 หมายถึง การที่ผู้ครอบครองได้ครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นและมีหนี้อันเป็นคุณแก่ผู้ครอบครองเกี่ยวด้วยทรัพย์สินที่ครอบครองนั้น หนี้ที่ผู้ร้องมีเป็นเพียงหนี้เงินกู้ที่ผู้ร้องจะได้รับชำระหนี้คืนเท่านั้นหาได้เป็นคุณแก่ผู้ร้องเกี่ยวด้วยที่ดินโฉนดดังกล่าวไม่เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีทำการบังคับคดีแก่ที่ดินดังกล่าว ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิยึดหน่วงโฉนดที่ดินฉบับพิพาท ที่ผู้ร้องฎีกาว่า อุทธรณ์ของผู้ร้องที่ว่าจำเลยจะนำโฉนดที่ดินมาจดทะเบียนจำนองเป็นประกันเงินกู้แต่ยังไม่ได้จดทะเบียนจำนอง จำเลยจึงได้มอบโฉนดที่ดินให้ผู้ร้องยึดถือไว้ก่อนเป็นเพียงรายละเอียดที่ทำให้เห็นถึงการได้มาซึ่งสิทธิยึดหน่วงโฉนดที่ดินตามคำร้องที่ยื่นต่อศาลชั้นต้น ซึ่งผู้ร้องสามารถจะให้การในชั้นไต่สวนคำร้องได้ ทั้งรายละเอียดดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของข้อเท็จจริงที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น และเป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยจากศาลอุทธรณ์ภาค 4 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง เห็นว่าข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นข้อเท็จจริงที่เพิ่มขึ้นมาว่าจะมีการนำโฉนดที่ดินที่มอบให้ผู้ร้องยึดถือไปจำนองเป็นประกันการกู้เงินตามหนังสือสัญญากู้นั้นด้วย อันเป็นข้ออ้างว่าผู้ร้องมีหนี้อันเป็นคุณแก่ผู้ร้องเกี่ยวด้วยโฉนดที่ดินดังกล่าว ซึ่งจะทำให้ผู้ร้องมีสิทธิยึดหน่วง ตามกฎหมาย ข้อเท็จจริงดังกล่าวจึงเป็นข้ออ้างที่สนับสนุนว่าผู้ร้องมีสิทธิยึดหน่วง ผู้ร้องต้องอ้างมาในคำร้องด้วย จะนำสืบในชั้นไต่สวนคำร้องหาได้ไม่ เพราะมิใช่ข้อเท็จจริงอันเป็นเพียงรายละเอียดหรือข้อเท็จจริงที่เป็นส่วนหนึ่งของข้อเท็จจริงที่กล่าวมาในคำร้องของผู้ร้องแม้จะเป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยก็ต้องเป็นข้อเท็จจริงที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 ไม่รับวินิจฉัยนั้นชอบแล้ว และที่ผู้ร้องฎีกาอีกว่าผู้ร้องมีสิทธิยึดหน่วงตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 3483/2535 นั้น เห็นว่า ข้อเท็จจริงในคำพิพากษาฎีกาดังกล่าว โจทก์ฟ้องให้จำเลยคืนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ให้จำเลยยึดถือไว้เป็นประกันเงินกู้คืนจำเลยให้การว่าโจทก์มอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้จำเลยนำไปจำนองค้ำประกันหนี้ ข้อเท็จจริงที่ว่ามอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้ไปจำนองค้ำประกันหนี้นั้น เป็นข้อเท็จจริงที่อ้างมาในคำให้การ เป็นประเด็นในคดีและรับฟังได้โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกหนังสือรับรองการทำประโยชน์จากจำเลยในคดีดังกล่าวได้ต่างกับคดีนี้ที่ข้อเท็จจริงว่าจำเลยมอบโฉนดที่ดินพิพาทให้ผู้ร้องนำไปจำนองนั้นมิได้อ้างมาในคำร้อง ไม่เป็นประเด็นในคดี เป็นข้อเท็จจริงนอกประเด็นและรับฟังไม่ได้ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิยึดหน่วงตามนัยแห่งคำพิพากษาฎีกาดังกล่าว ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน