คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 486/2546

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

พระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 มาตรา 12 และมาตรา 13 กำหนดไว้ชัดเจนว่าไม่ว่าจะเป็นการตั้งโรงงานหรือประกอบกิจการโรงงานจำพวกที่ 3 ผู้ประกอบกิจการโรงงานจะต้องยื่นคำขอรับใบอนุญาตและต้องได้รับใบอนุญาตจากผู้อนุญาตเสียก่อนและเมื่อได้รับใบอนุญาตดังกล่าวแล้ว หากประสงค์จะเริ่มประกอบกิจการต้องแจ้งให้พนักงานเจ้าหน้าที่ทราบอีกครั้งหนึ่ง จะถือวันที่การออกใบอนุญาตประกอบกิจการเป็นวันเริ่มประกอบกิจการโรงงานโดยชอบด้วยกฎหมายไม่ได้
การที่มีคำสั่งกระทรวงอุตสาหกรรมแต่งตั้งจำเลยที่ 1 ซึ่งดำรงตำแหน่งนายอำเภอให้มีอำนาจหน้าที่ปฏิบัติการตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 ก็เป็นอำนาจหน้าที่ในการตรวจสอบโรงงานหรือเครื่องจักรเพื่อปฏิบัติตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ.2535เท่านั้น มิใช่ว่าเป็นหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ที่จะต้องเป็นผู้สอบถามไปยังสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดว่าโรงงานที่ตั้งในเขตท้องที่ซึ่งอยู่ในอำนาจหน้าที่ของตนนั้น ได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานแล้วหรือไม่ แต่เป็นหน้าที่ของโจทก์ในฐานะผู้ประกอบกิจการโรงงานที่จะต้องแสดงหลักฐานต่อจำเลยที่ 1 ให้ปรากฏชัดว่าได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานแล้ว
โจทก์ยังไม่ได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน การตั้งโรงงานตลอดจนการประกอบกิจการโรงงานทำนาเกลือสินเธาว์ของโจทก์จึงฝ่าฝืนต่อพระราชบัญญัติโรงงานพ.ศ. 2535 มาตรา 12 จำเลยที่ 1 รวมทั้งจำเลยที่ 2 และที่ 3 ซึ่งเป็นผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาของจำเลยที่ 1 และปฏิบัติตามคำสั่งของจำเลยที่ 1 ย่อมมีอำนาจเข้าไปตรวจสภาพโรงงาน สถานที่ สภาพเครื่องจักร ตลอดจนตรวจยึดสิ่งใด ๆ ที่เกี่ยวข้องได้ การที่จำเลยทั้งสามเข้าไปในที่ดินของโจทก์และยึดเครื่องจักรและอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ใช้ในการประกอบกิจการนาเกลือสินเธาว์ของโจทก์ จึงไม่เป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและความผิดฐานบุกรุก
การที่จำเลยทั้งสามเข้าไปตรวจสภาพโรงงานและยึดเครื่องจักรและอุปกรณ์ต่าง ๆที่เกี่ยวข้องกับการประกอบกิจการโรงงานเนื่องจากได้รับแจ้งว่ามีราษฎรประมาณ 100 คนมาชุมนุมแสดงความไม่เห็นด้วยในการทำนาเกลือสินเธาว์ของโจทก์จำเลยทั้งสามจึงมีเจตนาเพียงระงับเหตุร้ายและความวุ่นวายมิให้ลุกลามไปแม้การที่จะระงับการประกอบกิจการนาเกลือสินเธาว์นั้น จำเลยทั้งสามได้สั่งให้อุดท่อพีวีซี ตลอดจนสั่งให้รื้อถอนเครื่องจักรและอุปกรณ์ในที่เกิดเหตุ ก็ด้วยประสงค์จะยึดเครื่องจักรและอุปกรณ์ซึ่งติดตั้งที่พื้นดินโดยต้องรื้อถอนไปตามอำนาจหน้าที่ การรื้อสิ่งของที่ติดอยู่กับพื้นดินย่อมทำให้เกิดความชำรุดเสียหายบ้าง ซึ่งเป็นผลธรรมดาของการรื้อถอนที่ต้องเกิดขึ้น มิใช่เกิดขึ้นเพราะกระทำโดยเจตนาให้เสียทรัพย์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 รับราชการในตำแหน่งนายอำเภอบ้านม่วง จังหวัดสกลนคร มีฐานะเป็นผู้บังคับบัญชาเจ้าพนักงานฝ่ายปกครองอำเภอบ้านม่วง จำเลยที่ 2 และที่ 3 รับราชการในตำแหน่งปลัดอำเภอบ้านม่วง จังหวัดสกลนคร มีฐานะเป็นเจ้าพนักงานฝ่ายปกครอง โจทก์ทั้งสองเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1259, 1262, 1171, 1174 ถึง 1177 ตำบลดงเหนืออำเภอบ้านม่วง จังหวัดสกลนคร เพื่อใช้ประกอบกิจการทำนาเกลือสินเธาว์ เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2542 เวลากลางวัน จำเลยทั้งสามกับพวกอีกจำนวนหนึ่งไม่ทราบชื่อเข้าไปในที่ดินของโจทก์ทั้งสอง และร่วมกันนำดินลูกรังไปอัดบ่อน้ำเกลือ 4 บ่อ จนไม่สามารถนำน้ำเกลือจากบ่อไปใช้ประโยชน์ต่อไปได้ และร่วมกันนำเครื่องจักร เครื่องมือในการประกอบกิจการทำนาเกลือสินเธาว์ไป 11 รายการ ราคาประมาณ 500,000 บาท ทำให้โจทก์ทั้งสองไม่สามารถประกอบกิจการทำนาเกลือสินเธาว์ได้ อันเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์โดยปกติสุขของโจทก์ทั้งสอง และทำให้โจทก์ทั้งสองต้องไร้ประโยชน์ในการใช้ทรัพย์ได้ตามปกติ อีกทั้งจำเลยทั้งสามทราบดีอยู่แล้วว่า ไม่มีอำนาจหน้าที่ที่กระทำเช่นนั้นได้ แต่ได้ร่วมกันสมคบและสนับสนุนให้กระทำเช่นนั้น จึงถือว่าจำเลยทั้งสามปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ บุกรุก และทำให้เสียทรัพย์ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365, 362, 358, 157, 83, 84, 90 และ 91

ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีไม่มีมูล พิพากษายกฟ้อง

โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืน

โจทก์ทั้งสองฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ทั้งสองว่า คดีโจทก์ทั้งสองมีมูลความผิดตามฟ้องหรือไม่ ที่โจทก์ทั้งสองฎีกาอ้างว่า เมื่อเจ้าพนักงานออกใบอนุญาตประกอบกิจการตั้งโรงงานตามคำขอของโจทก์ทั้งสองผู้ประสงค์จะประกอบกิจการในวันที่ 3 ธันวาคม 2542 ก็ย่อมหมายถึงเป็นวันที่โจทก์ทั้งสองเริ่มต้นประกอบกิจการโรงงานได้โดยชอบนั้น เห็นว่า พระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 มาตรา 12 บัญญัติว่า “ผู้ประกอบกิจการโรงงานจำพวกที่ 3 ต้องได้รับใบอนุญาต… ห้ามมิให้ผู้ใดตั้งโรงงานก่อนได้รับใบอนุญาต… การยื่นคำขอรับใบอนุญาตและขั้นตอนการพิจารณาและระยะเวลาในการพิจารณาออกใบอนุญาตให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวง…” และมาตรา 13 บัญญัติว่า “ผู้รับใบอนุญาตตามมาตรา 12 ถ้าประสงค์จะเริ่มประกอบกิจการโรงงานในส่วนหนึ่งส่วนใดต้องแจ้งให้พนักงานเจ้าหน้าที่ทราบไม่น้อยกว่าสิบห้าวันก่อนเริ่มประกอบกิจการ…” จากบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว กำหนดไว้ชัดเจนว่าไม่ว่าจะเป็นการตั้งโรงงานหรือประกอบกิจการโรงงานจำพวกที่ 3 ผู้ประกอบกิจการโรงงานจะต้องยื่นคำขอรับใบอนุญาตและต้องได้รับใบอนุญาตจากผู้อนุญาตเสียก่อน และเมื่อได้รับใบอนุญาตดังกล่าวแล้ว หากประสงค์จะเริ่มประกอบกิจการต้องแจ้งให้พนักงานเจ้าหน้าที่ทราบอีกครั้งหนึ่งก่อน ซึ่งโจทก์ทั้งสองจะถือเอาการออกใบอนุญาตประกอบกิจการลงวันที่ 3 ธันวาคม 2542 ของนายสมคะเนย์ ขันชะรุ หัวหน้าฝ่ายโรงงานสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดสกลนครตามเอกสารหมาย จ.5 เป็นวันเริ่มประกอบกิจการโรงงานโดยชอบด้วยกฎหมายดังที่โจทก์ทั้งสองฎีกาไม่ได้ เพราะจากการนำสืบของโจทก์ทั้งสองได้ความว่า โจทก์ที่ 1 ชำระค่าธรรมเนียมใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานในวันที่ 13 ธันวาคม 2542 ตามใบเสร็จรับเงินค่าธรรมเนียมต่าง ๆเอกสารหมาย ล.2 และโจทก์ที่ 2 ไปรับใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานในวันเดียวกันเมื่อเป็นเช่นนี้วันที่ 3 ธันวาคม 2542 จึงไม่ใช่วันเริ่มต้นที่โจทก์ทั้งสองสามารถตั้งโรงงานและประกอบกิจการโรงงานตามที่ขออนุญาตไว้ได้ ส่วนที่โจทก์ทั้งสองอ้างว่า เป็นหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ในฐานะเจ้าพนักงานตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 ที่จะต้องตรวจสอบว่าโรงงานซึ่งตั้งในเขตท้องที่ซึ่งอยู่ในอำนาจหน้าที่ของตนได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานแล้วหรือไม่ นั้น เห็นว่า แม้จะมีคำสั่งกระทรวงอุตสาหกรรมที่ 214/2536 แต่งตั้งจำเลยที่ 1 ซึ่งดำรงตำแหน่งนายอำเภอให้มีอำนาจหน้าที่ปฏิบัติการตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 ก็ตาม แต่ก็เป็นอำนาจหน้าที่ในการตรวจสอบโรงงานหรือเครื่องจักรเพื่อปฏิบัติตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 แต่ก็ใช่ว่าเป็นหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ที่จะต้องเป็นผู้สอบถามไปยังสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดว่าโรงงานที่ตั้งในเขตท้องที่ซึ่งอยู่ในอำนาจหน้าที่ของตนนั้น ได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานแล้วหรือไม่ ดังที่โจทก์ทั้งสองอ้างมาในฎีกาแต่เป็นหน้าที่ของโจทก์ทั้งสองในฐานะผู้ประกอบกิจการโรงงานที่จะต้องแสดงหลักฐานต่อจำเลยที่ 1 ให้ปรากฏชัดว่า ได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานแล้ว ดังจะเห็นได้จากพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 มาตรา 23 ซึ่งบัญญัติว่า “ผู้รับใบอนุญาตต้องแสดงใบอนุญาตไว้ ณ ที่เปิดเผยและเห็นได้ง่ายในโรงงานของตน” เป็นเหตุผลสนับสนุนความข้อนี้อยู่ ดังนั้นในวันที่ 8 ธันวาคม 2542 ซึ่งเป็นวันเกิดเหตุ เมื่อโจทก์ทั้งสองยังไม่ได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน การตั้งโรงงานตลอดจนการประกอบกิจการโรงงานทำนาเกลือสินเธาว์ของโจทก์ทั้งสองจึงฝ่าฝืนต่อพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 มาตรา 12 การที่จำเลยที่ 1 ซึ่งได้รับแต่งตั้งเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 และเป็นเจ้าพนักงานฝ่ายปกครอง รวมทั้งจำเลยที่ 2 และที่ 3 ซึ่งเป็นผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาของจำเลยที่ 1 และปฏิบัติตามคำสั่งของจำเลยที่ 1 ย่อมมีอำนาจเข้าไปตรวจสภาพโรงงานสถานที่ สภาพเครื่องจักร ตลอดจนตรวจยึดสิ่งใด ๆ ที่เกี่ยวข้อง เมื่อการประกอบกิจการโรงงานของโจทก์ทั้งสองกระทำโดยฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 ดังกล่าวแล้ว กรณีจึงถือว่า การกระทำของจำเลยทั้งสามที่เข้าไปในที่ดินของโจทก์ที่ 1 และยึดเครื่องจักรและอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ใช้ในการประกอบกิจการนาเกลือสินเธาว์ของโจทก์ที่ 1 เป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและความผิดฐานบุกรุกหาได้ไม่ ส่วนข้อที่โจทก์ทั้งสองฎีกาในทำนองว่า จำเลยทั้งสามไม่จำเป็นต้องทำลายท่อ พี วี ซี ที่วางอยู่บนพื้นดิน และนำเศษดิน เศษหิน ใส่ลงไปในท่อ พี วี ซี 4 ท่อ จนเสียหายใช้การไม่ได้ซึ่งเป็นความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์นั้น เห็นว่า เหตุแห่งการที่จำเลยทั้งสามเข้าไปตรวจสภาพโรงงานและยึดเครื่องจักรและอุปกรณ์ต่าง ๆที่เกี่ยวข้องกับการประกอบกิจการโรงงานครั้งนี้เนื่องจากได้รับแจ้งว่ามีราษฎรประมาณ100 คน มาชุมนุมแสดงความไม่เห็นด้วยในการทำนาเกลือสินเธาว์ของโจทก์ทั้งสองตามบันทึกเหตุร้ายสำคัญในเขตตำบลดงเหนือเอกสารหมาย ล.9 ซึ่งมีนายดาบตำรวจพิศาล ศิริบูรณ์ พยานโจทก์ทั้งสองลงลายมือชื่อไว้ท้ายบันทึกดังกล่าวด้วย การกระทำของจำเลยทั้งสามจึงมีเจตนาเพียงระงับเหตุร้ายและความวุ่นวายของผู้ชุมนุมประท้วงมิให้ลุกลามไป แม้การที่จะระงับการประกอบกิจการนาเกลือสินเธาว์นั้น จำเลยทั้งสามจะได้สั่งให้อุดท่อ พี วี ซี ตลอดจนสั่งให้รื้อถอนเครื่องจักรและอุปกรณ์ในที่เกิดเหตุ ก็ด้วยประสงค์จะยึดเครื่องจักรและอุปกรณ์ซึ่งติดตั้งที่พื้นดินโดยต้องรื้อถอนไปตามอำนาจหน้าที่การรื้อสิ่งของที่ติดอยู่กับพื้นดินย่อมทำให้เกิดความชำรุดเสียหายบ้าง ซึ่งเป็นผลธรรมดาของการรื้อถอนที่ต้องเกิดขึ้น สภาพความชำรุดเสียหายมิใช่เกิดขึ้นเพราะกระทำโดยเจตนาให้เสียทรัพย์ การกระทำของจำเลยทั้งสามจึงไม่เป็นความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 วินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์ทั้งสองไม่มีมูลความผิดและพิพากษายกฟ้องมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ทั้งสองทุกข้อฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share