คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1999/2554

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การในคดีสำนวนแรกแล้ว ต่อมาจำเลยนำคดีมาฟ้องโจทก์เป็นคดีสำนวนหลัง เมื่อกรณีต้องด้วยหลักเกณฑ์ว่าคู่ความในคดีทั้งสองสำนวนเป็นรายเดียวกัน หากรวมการพิจารณาคดีเข้าด้วยกันแล้วจะเป็นการสะดวก โดยศาลเห็นสมควรเองก็ดี หรือคู่ความยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีรวมกันก็ดี เมื่อศาลได้ฟังคู่ความทุกฝ่ายแล้ว ถ้าเป็นที่พอใจศาลว่าคดีทั้งสองสำนวนเกี่ยวเนื่องกัน ศาลก็มีอำนาจสั่งให้พิจารณาคดีรวมกันได้ ทั้งคดีทั้งสองสำนวนนี้แม้ข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแต่ละสำนวนจะต่างกัน แต่ประเด็นแห่งคดีเป็นเรื่องเดียวกันว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือจำเลย ข้อเท็จจริงจึงเกี่ยวพันกันมา ศาลสามารถรับฟังพยานหลักฐานของจำเลยทั้งหมดที่นำสืบได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 28 วรรคหนึ่ง

ย่อยาว

สำนวนแรกโจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 776 ตำบลกุดจับ อำเภอกุดจับ จังหวัดอุดรธานี ให้นิติกรรมการโอนสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทระหว่างนางปั่นกับจำเลยเป็นโมฆะ ให้จำเลยมอบคืนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) แก่โจทก์ ห้ามจำเลยเข้าเกี่ยวข้องในที่ดินแปลงดังกล่าวต่อไป
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ
สำนวนหลังโจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยทั้งสองและบริวารออกไปจากที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 776 ตำบลกุดจับ อำเภอกุดจับ จังหวัดอุดรธานี เนื้อที่ 10 ไร่ 1 งาน 20 ตารางวา และส่งมอบที่ดินให้โจทก์ในสภาพเรียบร้อย ห้ามมิให้จำเลยทั้งสองเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาทอีกต่อไป ให้จำเลยทั้งสองชำระค่าเสียหายเดือนละ 2,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสองและบริวารจะรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินพิพาท
จำเลยทั้งสองให้การและแก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้อง
คดีทั้งสองสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษารวมกันเป็นคดีเดียวกัน โดยให้คงเรียกโจทก์สำนวนแรกซึ่งเป็นจำเลยที่ 1 ในสำนวนหลังว่า โจทก์ที่ 1 เรียกจำเลยที่ 2 ในสำนวนหลังว่า โจทก์ที่ 2 และให้เรียกจำเลยในสำนวนแรกซึ่งเป็นโจทก์ในสำนวนหลังว่า จำเลย
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งสอง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์
ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 4 จำเลยถึงแก่ความตาย นายแสนประเสริฐ สามีของจำเลย ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลอุทธรณ์ภาค 4 มีคำสั่งอนุญาต
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์ทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริง ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายนั้น ศาลฎีกาจำต้องถือข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 ได้วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 238 ประกอบมาตรา 247 ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 4 ฟังข้อเท็จจริงมาว่า โจทก์ทั้งสองเป็นบุตรของนางปั่นกับนายสม เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2523 นางปั่นซื้อที่ดินพิพาทมาจากนายชาย ระหว่างปี 2533 ถึงปี 2540 นางปั่นเป็นผู้เสียภาษีบำรุงท้องที่ วันที่ 1 มีนาคม 2532 นางปั่นทำสัญญาขายที่ดินพิพาทให้จำเลย วันที่ 11 พฤศจิกายน 2538 นางปั่นถึงแก่กรรม วันที่ 18 กรกฎาคม 2540 นายแสนประเสริฐ สามีจำเลยกับโจทก์ทั้งสองไปเจรจาตกลงเกี่ยวกับที่ดินพิพาท เจ้าพนักงานตำรวจลงบันทึกไว้ในรายงานประจำวันรับแจ้งเป็นหลักฐาน โจทก์ทั้งสองครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทและปลูกเพิงพักอาศัยไว้ วันที่ 19 กันยายน 2540 นายแสนประเสริฐแจ้งความให้ดำเนินคดีแก่โจทก์ทั้งสองในข้อหาบุกรุกที่ดินพิพาท ภายหลังพนักงานอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้อง
คดีมีปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ทั้งสองข้อแรกว่า การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้รวมการพิจารณาคดีทั้งสองสำนวนเข้าด้วยกัน แล้วศาลล่างทั้งสองนำคำพยานจำเลยมารับฟังพิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งสองเป็นการชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า แม้ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การในคดีสำนวนแรกแล้ว ต่อมาจำเลยนำคดีมาฟ้องโจทก์ทั้งสองเป็นคดีสำนวนหลัง เมื่อกรณีต้องด้วยหลักเกณฑ์ที่ว่าคู่ความในคดีทั้งสองสำนวนเป็นรายเดียวกัน หากรวมการพิจารณาคดีเข้าด้วยกันแล้วจะเป็นการสะดวก โดยศาลเห็นสมควรเองก็ดี หรือคู่ความยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีรวมกันก็ดี เมื่อศาลได้ฟังคู่ความทุกฝ่ายแล้ว ถ้าเป็นที่พอใจศาลว่า คดีทั้งสองสำนวนเกี่ยวเนื่องกัน ศาลก็มีอำนาจสั่งให้พิจารณาคดีรวมกันได้ ทั้งคดีทั้งสองสำนวนนี้ แม้ข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแต่ละสำนวนจะต่างกัน แต่ประเด็นแห่งคดีเป็นเรื่องเดียวกันว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ที่ 1 หรือจำเลย ข้อเท็จจริงจึงเกี่ยวพันกันมา ศาลสามารถรับฟังพยานหลักฐานของจำเลยทั้งหมดที่นำสืบได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 28 วรรคหนึ่ง ที่ศาลล่างทั้งสองนำพยานหลักฐานจำเลยมารับฟังแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์ที่ 1 จึงเป็นการชอบด้วยกฎหมาย ฎีกาของโจทก์ทั้งสองข้อนี้ฟังไม่ขึ้น…
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองสำนวนทั้งสามศาลให้เป็นพับ

Share