แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
ก. ถูกผู้ตายพูดดูหมิ่นเหยียดหยาม แต่ ก. มิได้แสดงอาการโกรธแค้นหรือพูดตอบโต้ เพียงแต่ลุกขึ้นจากเตียงเดินไปมาเท่านั้น การที่ผู้ตายพูดเสียงดังจนอาจทำให้จำเลยซึ่งดูโทรทัศน์อยู่บนบ้านได้ยินนั้น ก็เป็นเพียงความคาดเดาของบุคคลอื่นที่อยู่ด้วย จำเลยดูโทรทัศน์ก็ย่อมมีเสียงจากโทรทัศน์ดังอยู่แล้ว เสียงพูดของผู้ตายถึงแม้จะดังขึ้นไปถึงข้างบนบ้าน แต่ก็ไม่น่าจะทำให้จำเลยได้ยินจนจับใจความได้ เพียงแต่รู้ว่ามีเสียงพูดดังผิดปกติ จำเลยจึงลงมาสอบถามว่ามีเรื่องอะไรกัน เมื่อ ก. ถามถึงขวานตัดไม้ จำเลยก็หยิบส่งให้ ขณะนั้น ก. มิได้มีอาการโกรธแค้นจะทำร้ายผู้ตาย แต่เมื่อ ก. ได้ขวานแล้ว ก. ก็ใช้ขวานฟันผู้ตายโดยบุคคลอื่นไม่คาดคิด การที่ ก. ฟันผู้ตายในทันทีเป็นสิ่งที่จำเลยย่อมไม่อาจเล็งเห็นผลหรือประสงค์ต่อผลเช่นนั้น เพราะจำเลยเพิ่งลงมาจากบนบ้านเพื่อสอบถามถึงเสียงเอะอะโวยวายผิดปกติ บุคคลอื่นๆ ซึ่งรับรู้เหตุการณ์มาโดยตลอดก็ยังไม่คาดคิดว่า ก. จะใช้ขวานฟันผู้ตาย เพราะ ก. ไม่แสดงอาการโกรธแค้นให้เห็น เมื่อเกิดเหตุแล้วก็เป็นธรรมดาที่จำเลยต้องพา ก. ออกไปจากที่เกิดเหตุ เนื่องจาก ก. กระทำความผิดร้ายแรง อาจมีญาติพี่น้องของผู้ตายทำร้าย ก. ได้พยานหลักฐานของโจทก์ยังรับฟังไม่ได้ว่า จำเลยมีเจตนาช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่ ก. ใช้ขวานฟันผู้ตาย จำเลยจึงไม่เป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดของ ก.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 83
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 86, 72 จำคุก 3 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์ ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า ในวัน เวลาและสถานที่เกิดเหตุดังฟ้อง นายเกียว ใช้ขวานเป็นอาวุธฟันนายประเสริฐที่ศีรษะผู้ตาย เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย แล้วจำเลยขับรถจักรยานยนต์พานายเกียวหลบหนีไป ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่า จำเลยกระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่ โจทก์มีนายพิเชษฐ์และนายสมักเป็นพยานเบิกความในทำนองเดียวกันว่า ในวันเกิดเหตุนายพิเชษฐ์และนายสมัก ดื่มสุรากับผู้ตายที่บ้านของผู้ตายตั้งแต่เวลาประมาณ 17 นาฬิกา กระทั่งเวลา 19 นาฬิกา จำเลยและนายเกียวผู้เป็นบิดาพร้อมด้วยนายมนตรีน้องชาย ขับรถจักรยานยนต์มาบ้านผู้ตาย นายเกียวนำไก่ 1 ตัว มาให้ผู้ตายพร้อมเงิน 500 บาท แล้วนั่งคุยกันที่เตียง ส่วนจำเลยกับนายมนตรีขึ้นไปดูโทรทัศน์ข้างบนบ้าน ผู้ตายเมาสุราและพูดจาดูหมิ่นนายเกียวซ้ำซากและเสียงดังจำเลยลงจากบ้านมาสอบถามนายเกียว นายเกียวถามว่าขวานตัดต้นไม้อยู่ไหน จำเลยชี้ให้ดูที่ข้างฝาและหยิบขวานส่งให้นายเกียว ทันใดนั้นนายเกียวใช้ขวานฟันผู้ตาย เห็นว่า นายเกียวถูกผู้ตายพูดดูหมิ่นเหยียดหยามแต่นายเกียวมิได้แสดงอาการโกรธแค้นหรือพูดตอบโต้แต่อย่างใด เพียงแต่ลุกขึ้นจากเตียงเดินไปมาเท่านั้น ที่ผู้ตายพูดเสียงดังจนอาจทำให้จำเลยซึ่งดูโทรทัศน์อยู่ข้างบนบ้านได้ยินนั้น ก็เป็นเพียงความคาดเดาของนายพิเชษฐ์และนายสมัก จำเลยดูโทรทัศน์ก็ย่อมมีเสียงจากโทรทัศน์ดังอยู่แล้ว เสียงพูดของผู้ตายถึงแม้จะดังไปถึงข้างบนบ้าน แต่ก็ไม่น่าจะทำให้จำเลยได้ยินจนจับใจความได้เพียงแต่รู้ว่ามีเสียงพูดดังผิดปกติ ดังนั้น จำเลยจึงลงมาสอบถามว่า มีเรื่องอะไรกันเมื่อนายเกียวถามถึงขวานตัดไม้ จำเลยก็หยิบส่งให้ ขณะนั้นนายเกียวมิได้มีอาการโกรธแค้นจะทำร้ายผู้ตาย แต่เมื่อนายเกียวได้ขวานแล้ว นายเกียวก็ใช้ขวานฟันผู้ตายโดนายพิเชษฐ์และนายสมักไม่คาดคิด การที่นายเกียวฟันผู้ตายในทันทีเป็นสิ่งที่จำเลยย่อมไม่อาจเล็งเห็นผลหรือประสงค์ต่อผลเช่นนั้น เพราะจำเลยเพิ่งลงมาจากบนบ้านเพื่อสอบถามถึงเสียงเอะอะโวยวายผิดปกติ นายพิเชษฐ์และนายสมักซึ่งรับรู้เหตุการณ์มาโดยตลอดก็ยังไม่คาดคิดว่านายเกียวจะใช้ขวานฟันผู้ตาย เพราะนายเกียวไม่แสดงอาการโกรธแค้นให้เห็น เมื่อเกิดเหตุแล้วเป็นธรรมดาที่จำเลยต้องพานายเกียวออกไปจากที่เกิดเหตุ เนื่องจากนายเกียวกระทำความผิดร้ายแรง อาจมีญาติพี่น้องของผู้ตายทำร้ายนายเกียวได้ พยานหลักฐานของโจทก์ยังรับฟังไม่ได้ว่า จำเลยมีเจตนาช่วยเหลือหรือให้ความสะอาดในการที่นายเกียวใช้ขวานฟันผู้ตาย จำเลยจึงไม่เป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดของนายเกียว ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน