คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1832/2554

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

ผู้เสียหายและ ส. ร่วมดื่มสุราด้วยกันที่บ้านของจำเลยก่อน แล้วจึงชวนกันมาดื่มสุราต่อที่บ้าน อ. จึงเป็นไปไม่ได้ที่บุคคลทั้งสองจะจดจำจำเลยที่มีเรื่องวิวาทชกต่อยและใช้เหล็กขูดชาฟท์แทงผู้เสียหายไม่ได้ บุคคลทั้งสองจึงให้การต่อพนักงานสอบสวนยืนยันว่าจำเลยเป็นคนร้ายที่ชกต่อยและให้เหล็กขูดชาฟท์แทงผู้เสียหายคำให้การในชั้นสอบสวนของผู้เสียหายและ ส. จึงรับฟังได้ดีกว่าคำเบิกความในชั้นพิจารณาที่ส่อแสดงให้เห็นว่าผู้เสียหายและ ส. พยายามบิดเบือนข้อเท็จจริงเพื่อช่วยเหลือจำเลยซึ่งเป็นเพื่อนกัน และภายหลังผู้เสียหายอาจเปลี่ยนใจไม่ประสงค์ให้จำเลยต้องได้รับโทษและให้พ้นผิด จำเลยต่อสู้ว่าผู้เสียหายมิได้ให้การและลงลายมือชื่อในบันทึกคำให้การของผู้ร้องทุกข์ แต่กลับไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายหรือจำเลยดำเนินการอย่างใดกับข้ออ้างดังกล่าว จึงเป็นพิรุธ พยานหลักฐานของโจทก์จึงมีน้ำหนักรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าเป็นคนร้ายชกต่อยและใช้เหล็กขูดชาฟท์แทงผู้เสียหาย
จำเลยใช้เหล็กขูดชาฟท์ซึ่งเป็นอาวุธร้ายแรงแทงผู้เสียหายที่สะบักจนทะลุเข้าช่องอกขวามีลมและเลือดออก การทำงานของปอดลดลง แพทย์มีความเห็นว่าหากรักษาไม่ทันอาจถึงแก่ความตายได้ แสดงว่าจำเลยแทงอย่างแรงในขณะที่ผู้เสียหายหันหลังให้เป็นการเลือกแทงในตำแหน่งที่มีอวัยวะสำคัญคือปอด เห็นได้ชัดว่าจำเลยมีเจตนาฆ่า

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 91, 288, 371 และนับโทษจำคุกจำเลยต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 2691/2548 ของศาลชั้นต้น
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80, 371 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานพยายามฆ่าผู้อื่น จำคุก 10 ปี ฐานพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควร ปรับ 100 บาท รวมจำคุก 10 ปี และปรับ 100 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29 ให้นับโทษจำคุกต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1586/2549 ของศาลชั้นต้น
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ฐานพาอาวุธไปเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควรตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2546 เวลาประมาณ 19 นาฬิกา นายชูชาติ รองเดช ผู้เสียหาย นายสายชล สังข์ขาว และจำเลย ไปร่วมดื่มสุราที่บ้านของนายเอกชัย สองเมือง ซึ่งเป็นห้องแถวฝาสังกะสี ตั้งอยู่ในหมู่ที่ 4 ตำบลในควน อำเภอย่านตาขาว จังหวัดตรัง จนกระทั่งเวลาประมาณ 22 นาฬิกา ผู้เสียหายถูกคนร้ายชกต่อยและถูกคนร้ายใช้เหล็กขูดชาฟท์แทงที่สะบักขวา 1 ครั้ง นายสายชลนำผู้เสียหายส่งโรงพยาบาลย่านตาขาว โรงพยาบาลย่านตาขาวส่งผู้เสียหายไปรักษาตัวต่อที่โรงพยาบาลตรัง ตามผลการตรวจชันสูตรบาดแผลเอกสารหมาย จ.3 และ จ.4 คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยมีความผิดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 หรือไม่ โจทก์มีผู้เสียหายเบิกความเป็นพยานว่า ในวันเกิดเหตุผู้เสียหายกับนายสายชลเดินทางโดยรถจักรยานยนต์เพื่อไปตลาดอำเภอย่านตาขาว ขณะนั้นเป็นเวลา 19 นาฬิกา ระหว่างทางผ่านบ้านนายเอก ไม่ทราบชื่อและสกุลจริง เห็นนายเอกกำลังตั้งวงร่วมดื่มสุรากับเพื่อนประมาณ 6 คน และเรียกให้ผู้เสียหายเข้าร่วมดื่มด้วย ผู้เสียหายกับนายสายชลจึงเข้าไปร่วมดื่ม ส่วนเพื่อน ๆ ของนายเอกผู้เสียหายไม่รู้จัก หลังจากดื่มอยู่สักครู่ ผู้เสียหายจึงขอตัวเดินทางไปตลาดอำเภอย่านตาขาวกับนายสายชล หลังจากนายสายชลขับรถจักรยานยนต์ห่างจากบ้านของนายเอกประมาณ 30 เมตร พบกับกลุ่มวัยรุ่นไม่ทราบว่าเป็นใครเข้ามาชกต่อยผู้เสียหาย แล้วมีหนึ่งในนั้นใช้อาวุธมีดยาวประมาณฝ่ามือแทงเข้าที่บริเวณแผ่นหลังของผู้เสียหาย หลังจากนั้นนายสายชลนำตัวผู้เสียหายส่งโรงพยาบาลย่านตาขาว แพทย์ทำการตรวจรักษาในเบื้องต้นแล้วส่งตัวผู้เสียหายต่อมาที่โรงพยาบาลตรัง ซึ่งแพทย์ผู้ทำการรักษาบอกว่าหากรักษาไม่ทันอาจเสียชีวิตได้ หลังจากออกจากโรงพยาบาลแล้ว ผู้เสียหายไปให้การต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอย่านตาขาว พนักงานสอบสวนสอบถามเพียงรูปพรรณสัณฐานของคนร้าย ส่วนบันทึกคำให้การในชั้นสอบสวนตามเอกสารหมาย จ.5 ผู้เสียหายไม่เคยให้การและไม่ได้ลงลายมือชื่อไว้รวมทั้งไม่ได้เป็นผู้นำชี้ตามแผนที่สังเขปแสดงสถานที่เกิดเหตุเอกสารหมาย จ.6 นอกจากนี้โจทก์มีนายสายชลเบิกความเป็นพยานว่า เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2546 เวลาประมาณ 18 นาฬิกา พยานเดินทางออกจากบ้านพร้อมกับผู้เสียหาย โดยผู้เสียหายเป็นผู้ขับรถจักรยานยนต์ พยานเป็นผู้นั่งซ้อนท้ายระหว่างทางผ่านบ้านนายสมหมายซึ่งไม่ใช่จำเลยในคดีนี้ นายสมหมายเรียกให้เข้าไปร่วมดื่มสุรา พยานกับผู้เสียหายจึงเข้าไปร่วมดื่มด้วย ต่อมาเวลาประมาณ 19 นาฬิกา พยานกับผู้เสียหายเดินทางออกจากบ้านของนายสมหมาย โดยผู้เสียหายเป็นผู้ขับ พยานเป็นผู้นั่งซ้อนท้ายเดินทางไปบ้านของนายเอกชัย ส่วนนายสมหมายขับรถจักรยานยนต์ติดตามมา เมื่อถึงบ้านของนายเอกชัยได้จอดรถจักรยานยนต์ห่างจากบ้านประมาณ 2 เมตร จากนั้นจึงไปซื้อสุรามาร่วมดื่มกัน ภายในวงสุรานอกจากตัวพยานแล้วยังมีผู้เสียหาย นายเอกชัยและเพื่อน ๆ รวมประมาณ 6 คน นั่งอยู่ภายในบ้านของนายเอกชัยซึ่งสภาพบ้านเป็นบ้านห้องแถว ฝากั้นห้องเป็นสังกะสี ต่อมาเวลาประมาณ 21 นาฬิกา ผู้เสียหายลุกขึ้นไปปัสสาวะ เมื่อกลับมาผู้เสียหายได้ถูกสังกะสีซึ่งเป็นฝาบ้านบริเวณที่นายสมหมายนั่งอยู่ นายสมหมายเข้าใจว่าผู้เสียหายหาเรื่อง เมื่อผู้เสียหายจะเข้ามานั่ง นายสมหมายจึงลุกขึ้นโดยไม่ได้โต้เถียงกัน ผู้เสียหายวิ่งออกมาที่หน้าบ้านบริเวณที่จอดรถ นายสมหมายวิ่งตามมาชกต่อยผู้เสียหายแต่จะมีการแทงกันหรือไม่ พยานไม่เห็น หลังจากนั้นนายเอกชัยก็เข้ามาห้ามพยานจึงติดเครื่องยนต์รถจักรยานยนต์ ผู้เสียหายมานั่งซ้อนท้ายแล้วบอกพยานว่าถูกแทง หลังเกิดเหตุพยานให้การต่อพนักงานสอบสวนโดยระบุรูปพรรณสัณฐานของคนร้ายไว้ ตามบันทึกคำให้การของพยานเอกสารหมาย จ.8 นายเอกชัยเบิกความเป็นพยานว่า ในวันเกิดเหตุขณะที่พยานอยู่ที่บ้านซึ่งเป็นห้องแถว จำเลย ผู้เสียหาย และนายสายชลเดินทางโดยรถจักรยานยนต์มาที่บ้านของพยานด้วยกัน 2 คัน บุคคลทั้งสามเป็นเพื่อนของพยาน และได้นั่งร่วมดื่มสุรากันภายในบ้านจนกระทั่งเวลาประมาณ 21 นาฬิกา จำเลยกับผู้เสียหายพูดจาโต้เถียงกัน พยานห้ามปรามว่าอย่าทะเลาะกัน และให้ผู้เสียหายกับจำเลยกลับบ้าน ส่วนพยานเก็บขวดสุราแล้วปิดไฟ จำเลย ผู้เสียหาย และนายสายชลออกจากบ้านแล้วขับรถจักรยานยนต์ออกไป โดยที่ไม่มีเรื่องกัน นายสุธรรม ไชยวาณิชย์ แพทย์ผู้ทำการรักษาผู้เสียหายเบิกความเป็นพยานว่า ขณะที่รับตัวผู้เสียหายปรากฏว่าผู้เสียหายมีบาดแผลถูกแทงเป็นรูปสามแฉกบริเวณสะบักหลังขวา เมื่อตรวจดูพบว่าเสียงการทำงานของปอดลดลง เข้าใจว่าบาดแผลที่ได้รับทะลุช่องอกขวามีลมและเลือดออกในบริเวณดังกล่าวจึงใส่ท่อระบาย และหากผู้เสียหายมารักษาตัวไม่ทันก็จะเสียชีวิต เนื่องจากมีลมออกในช่องอกด้านขวาและปอด ตามผลการตรวจชันสูตรบาดแผลเอกสารหมาย จ.4 และพันตำรวจตรีธีรภัทร ตรีเภรี เบิกความเป็นพยานว่า หลังเกิดเหตุ 1 วัน นางหนูพร้อย รองเดช มารดาผู้เสียหายมาแจ้งความว่านายสมหมายหรือหมายเป็นคนร้ายชกต่อยและใช้เหล็กขูดชาฟท์แทงผู้เสียหาย พันตำรวจตรีธีรภัทรจึงสอบปากคำไว้เป็นพยานและติดตามพยานที่เกี่ยวข้องและรู้เห็นเหตุการณ์มาสอบปากคำในชั้นสอบสวน วันที่ 29 มกราคม 2546 สอบคำให้การนายสายชลและให้นำชี้ที่เกิดเหตุ วันที่ 30 มกราคม 2546 สอบคำให้การนายเอกชัย และวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2546 สอบคำให้การผู้เสียหายซึ่งออกจากโรงพยาบาลแล้ว ในชั้นสอบสวนครั้งแรกพันตำรวจตรีธีรภัทรแจ้งข้อหาแก่จำเลยว่าทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย จำเลยให้การรับสารภาพ แต่ต่อมาพันตำรวจตรีธีรภัทรแจ้งข้อหาแก่จำเลยเป็นพยายามฆ่าผู้เสียหายจำเลยให้การปฏิเสธ และนางหนูพร้อยเคยให้การในชั้นสอบสวนตามบันทึกคำให้การของพยานเอกสารหมาย จ.1 ว่า คืนเกิดเหตุเมื่อทราบเหตุแล้วได้ติดตามไปเยี่ยมดูอาการบาดเจ็บของผู้เสียหายที่โรงพยาบาล ผู้เสียหายเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ฟังว่าระหว่างผู้เสียหาย จำเลย นายสายชล และเพื่อน ๆ ไปดื่มสุราอยู่ที่บ้านนายเอกชัย ผู้เสียหายกับจำเลยมีเรื่องโต้เถียงกัน แล้วจำเลยชกต่อยผู้เสียหายและใช้เหล็กขูดชาฟท์แทงบริเวณด้านหลังผู้เสียหาย เห็นว่า พยานโจทก์ดังกล่าวโดยเฉพาะพันตำรวจตรีธีรภัทรและนายเอกชัยไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองอย่างใดกับจำเลยมาก่อน จึงไม่มีเหตุให้ระแวงสงสัยว่าจะกลั่นแกล้งกล่าวหาหรือเบิกความปรักปรำใส่ร้ายจำเลยให้ต้องได้รับโทษ ส่วนผู้เสียหายกับนายสายชลร่วมดื่มสุราด้วยกันที่บ้านของจำเลยก่อน แล้วจึงชวนกันมาดื่มสุราต่อที่บ้านนายเอกชัยจึงเป็นไปไม่ได้ที่บุคคลทั้งสองจะจดจำจำเลยที่มีเรื่องวิวาทชกต่อยและใช้เหล็กขูดชาฟท์แทงผู้เสียหายไม่ได้ ด้วยเหตุนี้บุคคลทั้งสองจึงให้การต่อพนักงานสอบสวนยืนยันว่าจำเลยเป็นคนร้ายที่ชกต่อยและใช้เหล็กขูดชาฟท์แทงผู้เสียหาย คำให้การในชั้นสอบสวนของผู้เสียหายและนายสายชลจึงรับฟังได้ดีกว่าคำเบิกความในชั้นพิจารณาที่ส่อแสดงให้เห็นว่าผู้เสียหายและนายสายชลพยายามบิดเบือนข้อเท็จจริงเพื่อช่วยเหลือจำเลยซึ่งเป็นเพื่อนกันและภายหลังผู้เสียหายอาจเปลี่ยนใจไม่ประสงค์ให้จำเลยต้องได้รับโทษและให้พ้นผิด ที่จำเลยฎีกาว่า ผู้เสียหายมิได้ให้การและลงลายมือชื่อในบันทึกคำให้การของผู้ร้องทุกข์เอกสารหมาย จ.5 กลับไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายหรือจำเลยดำเนินการอย่างใดกับข้ออ้างดังกล่าวเป็นพิรุธ พยานหลักฐานของโจทก์จึงมีน้ำหนักรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยเป็นคนร้ายชกต่อยและใช้เหล็กขูดชาฟท์แทงผู้เสียหาย ที่จำเลยฎีกาว่า มีเพียงเจตนาทำร้ายเท่านั้น เห็นว่า จำเลยใช้เหล็กขูดชาฟท์ซึ่งเป็นอาวุธร้ายแรงแทงผู้เสียหายที่สะบักจนทะลุเข้าช่องอกขวามีลมและเลือดออก การทำงานของปอดลดลงแพทย์มีความเห็นว่าหากรักษาไม่ทันอาจถึงแก่ความตายได้ แสดงว่าจำเลยแทงอย่างแรงในขณะผู้เสียหายหันหลังให้เป็นการเลือกแทงในตำแหน่งที่มีอวัยวะสำคัญคือปอด เห็นได้ชัดว่ามีเจตนาฆ่า จำเลยจึงมีความผิดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 ซึ่งศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยทุกข้อฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share