แหล่งที่มา : สำนักงาน ส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
คดีความผิดฐานฆ่าและพยายามฆ่าผู้อื่นซึ่งมีอัตราโทษสูงแม้จำเลยจะให้การรับสารภาพต่อศาลโจทก์ก็ยังต้องนำพยานมาสืบให้เป็นที่พอใจศาลว่าจำเลยเป็นผู้กระทำผิดจริงศาลจึงจะลงโทษจำเลยได้ลำพังคำรับสารภาพนอกศาลแต่ในชั้นศาลจำเลยให้การปฏิเสธย่อมไม่มีน้ำหนักเพียงพอให้ศาลรับฟังลงโทษจำเลยได้การที่โจทก์ส่งคำให้การพยานชั้นสอบสวนแต่นำตัวพยานมาเบิกความต่อศาลไม่ได้จำเลยไม่มีโอกาสซักค้านพยานดังกล่าวคำให้การพยานในชั้นสอบสวนจึงไม่มีน้ำหนัก.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานมีและพาอาวุธปืนไปในหมู่บ้านฐานฆ่านายอัมพร รังศิษฐ์ และฐานพยายามฆ่านายดาวเรือง เดชะแก้วและนายอุเทน เทอดไทย โดยไตร่ตรองไว้ก่อน
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานฆ่าและพยายามฆ่าผู้อื่นฐานมีและพาอาวุธปืนไปในทางสาธารณะ ลงโทษฐานฆ่าและพยายามฆ่าผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ซึ่งเป็นบทหนัก จำคุก 20 ปี ฐานมีอาวุธปืนไม่รับอนุญาต จำคุก 2 ปี ฐานพาอาวุธปืนไปในทางสาธารณะลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน ซึ่งเป็นบทหนักจำคุก 1 ปี รวมจำคุก23 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า วันเวลาเกิดเหตุนายอัมพรผู้ตาย นายดาวเรืองและนายอุดมผู้เสียหายถูกคนร้ายใช้อาวุธปืนยิง เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายและผู้เสียหายทั้งสองได้รับบาดเจ็บ ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยมีว่า จำเลยเป็นคนร้ายรายนี้หรือไม่โจทก์มีพยานรู้เห็นขณะเกิดเหตุมาสืบ คือนายดาวเรืองผู้เสียหายและร้อยตำรวจตรีสรพล พยุงวีระน้อย แต่พยานที่ยืนยันว่าจำคนร้ายได้คงมีร้อยตำรวจตรีสรพลเพียงปากเดียว ส่วนนายดาวเรืองผู้เสียหายจำคนร้ายไม่ได้ ร้อยตำรวจตรีสรพลพยานโจทก์เบิกความว่า ขณะพยานนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ซึ่งพลตำรวจนิพนธ์เป็นคนขับไปใกล้จะถึงปากซอยเหล่าลดา ได้ยินเสียงปืนดังทางปากซอยเหล่าลดา ขณะนั้นพยานอยู่ห่างปากซอยดังกล่าวประมาณ 100 เมตร พยานจึงไปที่ปากซอยเหล่าลดา ได้เห็นคนร้าย 3 คนกำลังใช้อาวุธปืนยิงไปยังกลุ่มนายอัมพรผู้ตายกับพวกจึงร้องบอกให้หยุดและแสดงตัวเป็นเจ้าพนักงานตำรวจ คนร้ายทั้งสามหันหน้าไปเอง พยานจึงเห็นหน้าและจำคนร้ายทั้งสามคนได้ คนร้ายคนหนึ่งคือจำเลยนี้ พิเคราะห์แล้วเห็นว่าขณะเสียงปืนดัง ร้อยตำรวจตรีสรพลยังอยู่ห่างที่เกิดเหตุถึงประมาณ 100 เมตร แม้พยานจะนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ไป กว่าพยานจะไปถึงที่เกิดเหตุ คนร้ายก็น่าจะวิ่งไปแล้ว เพราะข้อเท็จจริงปรากฏตามคำเบิกความของนายดาวเรืองผู้เสียหายว่า เสียงปืนดัง 4-5 นัด ผู้เสียหายรู้สึกเจ็บที่อกด้านซ้ายผู้เสียหายลุกขึ้นวิ่งไปประมาณ 3 ก้าวก็ถูกยิงที่ด้านหลังอีก 1 นัดผู้เสียหายกับพวกจึงวิ่งหนีกลับไปที่ร้าน จากคำเบิกความดังกล่าวแสดงว่าคนร้ายยิงปืนทั้งหมดประมาณ 5-6 นัด และยิงในระยะไม่ห่างกันที่ร้อยตำรวจตรีสรพลพยานโจทก์เบิกความว่า เมื่อไปถึงที่เกิดเหตุได้เห็นคนร้ายกำลังใช้ปืนยิงผู้เสียหายและผู้ตายกับพวก จึงยังเป็นที่น่าสงสัยอยู่ หากร้อยตำรวจตรีสรพลพยานจะเห็นคนร้ายก็น่าจะเห็นคนร้ายด้านหลังขณะคนร้ายวิ่งหลบหนีหลังจากยิงผู้เสียหายกับพวกแล้วอย่างไรก็ดีแม้จะฟังว่าร้อยตำรวจตรีสรพลพยานไปถึงที่เกิดเหตุขณะเกิดเหตุขณะคนร้ายกำลังใช้ปืนยิงผู้เสียหายกับพวก พยานก็ไปจอดรถด้านหลังคนร้ายและเห็นด้านหลังคนร้าย แม้คนร้ายจะหันหน้าไปมองพยานก็หันไปเพียงชั่วระยะเวลาอันสั้นประมาณครั้งนาทีเท่านั้น คนร้ายเป็นคนที่พยานไม่เคยรู้จักมาก่อน ขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางคืน พยานน่าจะเห็นหน้าคนร้ายไม่ถนัด อาจจำผิดพลาดได้ ที่พยานเบิกความว่าจำคนร้ายได้ว่าเป็นจำเลยจึงยังมีเหตุอันควรสงสัยอยู่ว่าพยานอาจจำผิดพลาดได้ ส่วนที่โจทก์นำสืบว่า จำเลยรับสารภาพในชั้นจับกุมและให้การภาคเสธในชั้นสอบสวนนั้น เห็นว่คดีนี้มีอัตราโทษสูง แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพต่อศาล โจทก์ก็ยังต้องนำพยานมาสืบให้เป็นที่พอใจศาลว่า จำเลยเป็นผู้กระทำผิดจริง ศาลจึงจะลงโทษจำเลยได้ ลำพังคำรับสารภาพนอกศาลซึ่งในชั้นศาลจำเลยให้การปฏิเสธย่อมไม่มีน้ำหนักเพียงพอให้ศาลรับฟังลงโทษจำเลยได้ ที่โจทก์ส่งคำให้การในชั้นสอบสวนซึ่งโจทก์นำตัวพยานมาเบิกความต่อศาลไม่ได้นั้น ก็เห็นว่าจำเลยไม่มีโอกาสซักค้านพยานดังกล่าว คำให้การพยานในชั้นสอบสวนจึงไม่มีน้ำหนักสรุปแล้วเห็นว่า พยานโจทก์ที่นำสืบมายังไม่เป็นที่ปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยเป็นคนร้ายรายนี้ จึงควรยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลย ไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยพยานจำเลย ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.