คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8023/2549

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องเพียงว่า จำเลยพรากและพาผู้เสียหายที่ 2 ผู้เยาว์อายุ 15 ปีเศษ ซึ่งเป็นบุคคลอายุกว่า 15 ปี แต่ไม่เกิน 18 ปี ไปเสียจากผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งเป็นมารดา โดยใช้อุบายหลอกลวงเท่านั้น คำฟ้องโจทก์หาได้บรรยายให้ปรากฏไม่ว่าจำเลยพาผู้เสียหายที่ 2 ไปเพื่อการอนาจาร คำฟ้องของโจทก์จึงบรรยายไม่ครบองค์ประกอบความผิดฐานพาหญิงไปเพื่อการอนาจารโดยใช้อุบายหลอกลวงตาม ป.อ. มาตรา 284 วรรคแรก แม้คำขอท้ายฟ้องโจทก์จะระบุอ้างขอให้ลงโทษจำเลยตามบทมาตราดังกล่าวมาด้วย และทางพิจารณาจะฟังได้ว่าจำเลยพาผู้เสียหายที่ 2 ไปเพื่อการอนาจารด้วยก็ตาม แต่ศาลก็ไม่อาจพิพากษาลงโทษจำเลยตามมาตรา 284 วรรคแรก ดังกล่าวได้ เพราะเป็นข้อเท็จจริงที่โจทก์มิได้กล่าวในฟ้องต้องห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคหนึ่ง ปัญหาข้อนี้แม้จำเลยจะมิได้ยกขึ้นกล่าวแก้ในคำแก้ฎีกา แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาเห็นควรหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 278, 284, 319, 91
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 278, 284 วรรคแรก เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบทลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 284 วรรคแรก ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ลงโทษจำคุก 1 ปี ข้อหาอื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับกันฟังได้เป็นยุติในเบื้องต้นว่า นางสาว ป. ผู้เสียหายที่ 2 เป็นบุตรสาวของนาง ท. ผู้เสียหายที่ 1 ผู้เสียหายที่ 2 เกิดเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2527 ขณะเกิดเหตุมีอายุ 15 ปีเศษ ผู้เสียหายทั้งสองทำงานที่ร้านดวงดาวนวดแผนโบราณ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และพักอาศัยอยู่ในร้านดังกล่าวด้วย เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2542 เวลาประมาณ 20 นาฬิกา จำเลยไปดื่มสุราที่ร้านดวงดาวนวดแผนโบราณ และต่อมาได้พาผู้เสียหายที่ 2 ออกจากร้านดังกล่าวไปรับประทานอาหารข้างนอก และในคืนนั้นผู้เสียหายที่ 2 ได้กลับมายังที่พักในร้านดวงดาวนวดแผนโบราณเอง ที่โจทก์ฎีกาขอให้ศาลฎีกาพิพากษากลับ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 เป็นว่าให้ลงโทษจำเลยตามฟ้องนั้น เห็นว่า สำหรับข้อหาความผิดตามฟ้องฐานพรากผู้เยาว์อายุกว่า 15 ปี แต่ยังไม่เกิน 18 ปี ไปเสียจากมารดาเพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319 วรรคแรก นั้น ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงเชื่อว่าจำเลยสำคัญผิดคิดว่าผู้เสียหายที่ 2 อายุเกินกว่า 18 ปีแล้ว การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319 วรรคแรก เมื่อโจทก์มิได้อุทธรณ์ ความผิดตามฟ้องในข้อหาดังกล่าวย่อมยุติลง โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิที่จะฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยในข้อหาความผิดดังกล่าวได้อีก ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย คดีคงมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์เพียงว่า จำเลยได้กระทำความผิดฐานพาหญิงไปเพื่อการอนาจารโดยใช้อุบายหลอกลวงและฐานกระทำอนาจารแก่บุคคลอายุกว่า 15 ปี โดยใช้กำลังประทุษร้าย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 284 วรรคแรก และมาตรา 278 ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่เท่านั้น แม้โจทก์จะไม่ได้ตัวผู้เสียหายที่ 2 ซึ่งเป็นประจักษ์พยานมาเบิกความดังคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 1 ก็ตาม แต่โจทก์ก็มีบันทึกคำให้การของผู้เสียหายที่ 2 ตามเอกสารหมาย จ.5 ยืนยันการกระทำของจำเลยว่าในคืนเกิดเหตุจำเลยชักชวนผู้เสียหายที่ 2 ออกไปนอกร้านอ้างว่าจะพาไปรับประทานอาหารที่ร้านครัวเสนาซึ่งอยู่ใกล้ ๆ เพื่ออวดคู่รักเก่าของจำเลยที่ชื่อ น. จำเลยพาผู้เสียหายที่ 2 ไปนั่งในร้านอาหารถึง 2 ร้าน แต่ก็ไม่พบคู่รักเก่าของจำเลยดังกล่าว ครั้นผู้เสียหายที่ 2 เห็นว่า ดึกมากแล้วและขอร้องให้จำเลยพากลับบ้าน จำเลยกลับพาผู้เสียหายที่ 2 ขึ้นรถจักรยานยนต์นั่งซ้อนท้ายไปคนละทางกับทางกลับบ้านโดยพาไปสถานที่เปลี่ยว ผู้เสียหายที่ 2 จึงกระโดดลงจากรถลงมายืน จำเลยจอดรถจักรยานยนต์แล้วเดินตรงเข้ามากอดผู้เสียหายที่ 2 ด้วยมือสองข้างรัดแน่นพร้อมกับพูดว่า “อย่าร้องนะ ถ้าร้องจะไม่ไปส่ง” ผู้เสียหายที่ 2 ร้องไห้พร้อมตะโกนว่า “ช่วยหนูด้วย ๆ” จำเลยเงื้อมือซ้ายทำท่าจะตบ ผู้เสียหายที่ 2 จึงทรุดตัวลงนั่งจนหลุดจากการกอดแล้วรีบวิ่งลงข้างทางซึ่งเป็นลำคลองไปหลบในที่มืด ผู้เสียหายที่ 2 ยังจำได้ว่าในช่วงที่จำเลยเข้ามากอดจำเลยได้ใช้มือสองข้างจับและบีบที่หน้าอกผู้เสียหายที่ 2 ด้วย ทำให้ผู้เสียหายที่ 2 ทราบว่าจะต้องถูกจำเลยข่มขืนกระทำชำเราอย่างแน่นอน จึงตัดสินใจวิ่งหนีลงน้ำ จำเลยพยายามร้องบอกให้ผู้เสียหายที่ 2 ขึ้นมา แต่ผู้เสียหายที่ 2 ไม่ยอมขึ้น ค่อย ๆ คลานข้ามคลองแล้วเดินลัดท้องนากลับมาบ้านโดยมีพลเมืองดีพามาส่ง ซึ่งสอดคล้องกับคำเบิกความของนาง ท. ผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งเป็นมารดาของผู้เสียหายที่ 2 ที่เบิกความต่อศาลว่าคืนเกิดเหตุพยานเป็นห่วงผู้เสียหายที่ 2 พยานนั่งคอยผู้เสียหายที่ 2 อยู่ที่ร้านจนกระทั่งเวลาประมาณตีหนึ่ง ผู้เสียหายที่ 2 จึงกลับมาโดยมีคนยามพามาส่ง แต่ที่เนื้อตัวของผู้เสียหายที่ 2 เปียกน้ำและเปื้อนขี้โคลนและมีบาดแผล ผู้เสียหายที่ 2 เล่าเหตุการณ์ที่ถูกจำเลยกระทำให้ฟัง พยานจึงพาผู้เสียหายที่ 2 ไปแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจ สำหรับเหตุการณ์ต่อจากนั้นโจทก์ก็มีพันตำรวจโทเกียรติศักดิ์ บุญพูล พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอเสนามาเบิกความสนับสนุนว่า วันที่ 19 สิงหาคม 2542 เวลา 1.45 นาฬิกา ขณะที่พยานปฏิบัติหน้าที่เป็นร้อยเวรสอบสวนอยู่ที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอเสนา ได้มีพลเมืองดีพาผู้เสียหายที่ 2 ในสภาพเสื้อผ้าเปียก มีโคลนดิน และเศษหญ้าติดตามร่างกายและเสื้อผ้ามาพบพยาน พยานสอบถามผู้เสียหายที่ 2 ว่าเรื่องอะไร ผู้เสียหายที่ 2 ได้เล่าเหตุการณ์ที่ถูกจำเลยกระทำให้พยานฟัง พยานจึงรับแจ้งความไว้ ตามรายงานประจำวันรับแจ้งเป็นหลักฐานเอกสารหมาย จ.4 หลังจากนั้นพยานได้ให้ผู้เสียหายที่ 2 พาไปดูสถานที่เกิดเหตุ ทำบันทึกการตรวจสถานที่เกิดเหตุและแผนที่สังเขปแสดงสถานที่เกิดเหตุไว้ตามเอกสารหมาย จ.3 และ ป.จ.1 ต่อมาพันตำรวจโทเกียรติศักดิ์ พนักงานสอบสวนทราบจากทางร้านดวงดาวนวดแผนโบราณว่าคนร้ายผู้กระทำความผิดคดีนี้คือจำเลย จึงนัดผู้เสียหายที่ 2 ไปดูตัวจำเลยในวันที่ 5 กันยายน 2542 ผู้เสียหายที่ 2 ก็ชี้ตัวยืนยันว่าจำเลยเป็นคนร้าย พนักงานสอบสวนจึงได้สอบปากคำผู้เสียหายที่ 2 ไว้ตามเอกสารหมาย จ.5 ดังนี้ เห็นว่า ข้อเท็จจริงตามคำให้การชั้นสอบสวนเอกสารหมาย จ.5 ของผู้เสียหายที่ 2 มิใช่เพียงแต่มีลำดับขั้นตอนของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างสมเหตุสมผลเท่านั้น หากแต่จำเลยเองก็เบิกความยอมรับถึงการพาผู้เสียหายที่ 2 ออกไปรับประทานอาหารที่ร้านเหมือนฝันเจือสมดังคำให้การของผู้เสียหายที่ 2 ดังกล่าวข้างต้นด้วย เพียงแต่จำเลยบ่ายเบี่ยงข้อเท็จจริงว่า ระหว่างทางที่พาผู้เสียหายที่ 2 กลับไปส่งที่ร้านดวงดาวนวดแผนโบราณ จำเลยจอดรถเพื่อปัสสาวะข้างทาง ครั้นเสร็จกิจเดินกลับมาที่รถผู้เสียหายที่ 2 ยืนอยู่ข้างรถปฏิเสธไม่ให้จำเลยไปส่งบอกว่ากลับเองได้ จากนั้นผู้เสียหายที่ 2 ก็วิ่งหนีไป จำเลยวิ่งตามหาไม่พบ โดยไม่ปรากฏเหตุผลอะไรที่ผู้เสียหายที่ 2 จะต้องปฏิเสธไม่ยอมให้จำเลยขับรถจักรยานยนต์ไปส่งและต้องวิ่งหนีไปเช่นนั้น ทางนำสืบของจำเลยจึงขัดต่อเหตุผลไม่มีน้ำหนักน่าเชื่อถือ แต่กลับเจือสมพยานหลักฐานโจทก์ให้เชื่อถือได้มากขึ้นว่าเป็นเพราะจำเลยขับรถจักรยานยนต์ออกนอกเส้นทางกลับบ้านไปทางที่เปลี่ยวและลงมือกอดปล้ำกระทำอนาจารผู้เสียหายที่ 2 เป็นเหตุให้ผู้เสียหายที่ 2 เกรงว่าจะถูกข่มขืนกระทำชำเราจึงตัดสินใจวิ่งหนีลงน้ำ ค่อย ๆ คลานข้ามคลองแล้วเดินลัดท้องนากลับบ้าน และข้อเท็จจริงตามคำให้การของผู้เสียหายที่ 2 ที่ให้การว่าต้องหนีภัยคลานข้ามคลองเดินลัดท้องนากลับบ้านนั้นก็สอดคล้องกับสภาพของเนื้อตัวและร่างกายผู้เสียหายที่ 2 ที่ผู้เสียหายที่ 2 และพันตำรวจโทเกียรติศักดิ์พยานพฤติเหตุแวดล้อมภายหลังเกิดเหตุที่เบิกความตรงกันว่า ขณะที่ผู้เสียหายที่ 2 กลับมาถึงบ้าน และผู้เสียหายที่ 1 พาไปแจ้งความต่อพันตำรวจโทเกียรติศักดิ์นั้น ผู้เสียหายที่ 2 อยู่ในสภาพเสื้อผ้าเปียก มีโคลนดิน และเศษหญ้าติดตามร่างกายและเสื้อผ้าด้วย พยานหลักฐานโจทก์จึงมีความเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกันอย่างสมเหตุสมผล รับฟังเชื่อถือได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยได้พาผู้เสียหายที่ 2 ไปเพื่อการอนาจารโดยใช้อุบายหลอกลวงและกระทำอนาจารผู้เสียหายที่ 2 จริงตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
อย่างไรก็ตามสำหรับข้อหาความผิดฐานพาหญิงไปเพื่อการอนาจารโดยใช้อุบายหลอกลวงนั้น โจทก์บรรยายฟ้องในข้อ 1 ก. เพียงว่า จำเลยพรากและพาผู้เสียหายที่ 2 ผู้เยาว์อายุ 15 ปีเศษ ซึ่งเป็นบุคคลอายุว่า 15 ปี แต่ไม่เกิน 18 ปี ไปเสียจากผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งเป็นมารดา โดยใช้อุบายหลอกลวงเท่านั้น คำฟ้องโจทก์หาได้บรรยายให้ปรากฏไม่ว่าจำเลยพาผู้เสียหายที่ 2 ไปเพื่อการอนาจาร คำฟ้องข้อ 1 ก. ของโจทก์จึงบรรยายไม่ครบองค์ประกอบความผิดฐานพาหญิงไปเพื่อการอนาจารโดยใช้อุบายหลอกลวงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 284 วรรคแรก แม้คำขอท้ายฟ้องโจทก์จะระบุอ้างขอให้ลงโทษจำเลยตามบทมาตราดังกล่าวมาด้วย และทางพิจารณาจะฟังได้ว่าจำเลยพาผู้เสียหายที่ 2 ไปเพื่อการอนาจารด้วยก็ตาม แต่ศาลก็ไม่อาจพิพากษาลงโทษจำเลยตามมาตรา 284 วรรคแรก ดังกล่าวได้ เพราะเป็นข้อเท็จจริงที่โจทก์มิได้กล่าวในฟ้อง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคหนึ่ง ปัญหาข้อนี้แม้จำเลยจะมิได้ยกขึ้นกล่าวแก้ในคำแก้ฎีกา แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาเห็นสมควรหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้”
พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 278 จำคุก 3 เดือน จำเลยไม่เคยต้องรับโทษจำคุกมาก่อน เพื่อให้มีโอกาสได้กลับตัวเป็นพลเมืองดีภายหลังพ้นโทษแล้ว จึงให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นกักขังแทนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 23

Share