คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 115/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำให้เกิดเพลิงไหม้ทรัพย์ของจำเลยกับภริยาและไหม้ทรัพย์ของบุคคลอื่นด้วย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 218,220 จำเลยให้การและนำสืบรับว่าได้ทำให้เกิดเพลิงไหม้จริง แต่เกิดจากความประมาทและข้อเท็จจริงก็ฟังได้ว่าเพลิงไหม้ทรัพย์ของบุคคลอื่นด้วยดังนี้ หากข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยกระทำโดยเจตนา จำเลยย่อมมีความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 220 วรรคหนึ่งหรือมาตรา 220 วรรคสอง แล้วแต่กรณี แต่หากจำเลยกระทำโดยประมาทก็ย่อมมีความผิดตามมาตรา 225 ซึ่งศาลก็มีอำนาจลงโทษจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสามในชั้นอุทธรณ์จำเลยมิได้โต้เถียงเรื่องเพลิงไหม้ทรัพย์ของผู้อื่นด้วยเพียงแต่อ้างว่าเพลิงไหม้เกิดจากความประมาทขอจำเลยเท่านั้น การที่ศาลอุทธรณ์ไม่ได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยกระทำโดยเจตนาหรือประมาทตามที่จำเลยอุทธรณ์แต่กลับวินิจฉัยเพียงว่า ทรัพย์ที่จำเลยทำให้เกิดเพลิงไหม้จำเลยเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย จำเลยจึงไม่มีความผิด โดยไม่ได้วินิจฉัยกรณีที่การกระทำของจำเลยทำให้เพลิงไหม้ทรัพย์ของผู้อื่นด้วยและพิพากษายกฟ้องโจทก์นั้น จึงเป็นการไม่ชอบ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยวางเพลิงเผาโรงเรือนซึ่งเป็นของจำเลยกับนางรัญเจา กลิ่นตรุษ ภริยาและนางอูด บุญสุขโดยมีนายรส บุญสุข กับนายสุเมตร กลิ่นตรุษ ร่วมพักอาศัยอยู่ด้วย เป็นเหตุให้เป็นอันตรายแก่โรงเรือนดังกล่าวราคา300,000 บาท ที่นอน 4 ผืน ราคา 800 บาท ผ้าห่มนวม 30 ผืนราคา 6,000 บาท ตู้ไม้ 2 ใบ ราคา 700 บาท หม้อข้าวถ้วย จานช้อน ราคา 2,300 บาท โอ่งน้ำ 4 ใบ เสื้อ กางเกง 15 ชุด ซึ่งเป็นของจำเลยหาได้มาร่วมกันกับนางรัญเจา เครื่องรับโทรทัศน์1 เครื่อง ราคา 6,000 บาท แบตเตอรี่ 2 หม้อ ราคา 2,500 บาท ของนางสาวอมรรัตน์ กลิ่นตรุษ เสื่อ กางเกง 10 ชุด ราคา3,500 บาท ของนายรส และเสื้อกางเกง 3 ชุด ของนายสุเมตรถูกไฟไหม้เสียหาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 218, 220
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 218(1) ลงโทษจำคุก 5 ปี ลดโทษให้หนึ่งในห้าตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 4 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่โจทก์ฎีกาว่าคดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 218 และ 220ซึ่งตามข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยทำให้เกิดเพลิงไหม้บ้านที่จำเลยอาศัยอยู่กับนางรัญเจา กลิ่นตรุษ ภริยา และบ้านของนางอูด บุญสุข นอกจากนี้ยังมีทรัพย์ของนางสาวอมรรัตน์ กลิ่นตรุษนายรส บุญสุข และนายสุเมตร กลิ่นตรุษ ถูกเพลิงไหม้เสียหายด้วยจึงเป็นลักษณะของการกระทำให้เกิดเพลิงไหม้แก่วัตถุใด ๆ แม้เป็นของตนเองจนน่าจะเกิดอันตรายแก่บุคคลอื่น หรือทรัพย์สินของผู้อื่นอันเป็นความผิดตาม 220 วรรคหนึ่ง และถ้าการกระทำให้เกิดเพลิงไหม้ดังกล่าวเป็นเหตุให้เพลิงไหม้ทรัพย์ตามที่ระบุไว้ในมาตรา 218 ก็ต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 218 การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดตาม มาตรา 218 และพิพากษายกฟ้อง ย่อมไม่ถูกต้องนั้น เห็นว่าคดีนี้ตามฟ้องโจทก์กล่าวไว้ชัดแจ้งว่า จำเลยทำให้เกิดเพลิงไหม้ทรัพย์ของจำเลยกับภริยาและไหม้ทรัพย์ของบุคคลอื่นด้วยจำเลยก็ให้การและนำสืบรับว่าได้ทำให้เกิดเพลิงไหม้จริงแต่เกิดจากความประมาท ทั้งข้อเท็จจริงก็ฟังได้ว่าเพลิงไหม้ทรัพย์ของบุคคลอื่นด้วยซึ่งถ้าฟังได้ว่าจำเลยกระทำโดยเจตนาก็ย่อมมีความผิดตามมาตรา 220 วรรคหนึ่ง หรือมาตรา 220 วรรคสองแล้วแต่กรณี แต่ถ้าฟังได้ว่าจำเลยกระทำโดยประมาทก็ย่อมมีความผิดตามมาตรา 225 ซึ่งศาลก็มีอำนาจลงโทษจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสามในชั้นอุทธรณ์จำเลยมิได้โต้เถียงเรื่องเพลิงไหม้ทรัพย์ของผู้อื่นด้วย เพียงแต่อ้างว่าเพลิงไหม้เกิดจากความประมาทของจำเลยเท่านั้น การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ไม่ได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยกระทำโดยเจตนาหรือประมาทตามที่จำเลยอุทธรณ์แต่กลับวินิจฉัยเพียงว่าทรัพย์ที่จำเลยทำให้เกิดเพลิงไหม้จำเลยเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย จำเลยจึงไม่มีความผิด โดยไม่ได้วินิจฉัยกรณีที่การกระทำของจำเลยทำให้เพลิงไหม้ทรัพย์ของผู้อื่นด้วยและพิพากษายกฟ้อง ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 และให้ศาลอุทธรณ์ภาค 2พิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

Share