แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
พระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทฯ มาตรา 4นิยามคำว่า “ขาย” ให้หมายความรวมถึง จำหน่าย จ่าย แจก แลกเปลี่ยนส่งมอบ หรือมีไว้เพื่อขาย ดังนี้ เมื่อจำเลยมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อขายและพยายามขายเมทแอมเฟตามีนของกลางในวันเวลาเดียวกันและต่อเนื่องกัน การกระทำดังกล่าวจึงเป็นความผิดกรรมเดียวฐานขายเมทแอมเฟตามีนตามคำนิยามของบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวแล้วเท่านั้น เพราะการมีไว้เพื่อขายก็เป็นการขายแล้ว มิใช่มีความผิดฐานพยายามขายเมทแอมเฟตามีนของกลางอีก ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 195 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 225
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 4, 6, 13 ทวิ,62, 89, 106, 106 ทวิ, 116 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32,83, 92 ริบเมทแอมเฟตามีนของกลางให้แก่กระทรวงสาธารณสุขและเพิ่มโทษจำเลยที่ 1 ตามกฎหมาย
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ แต่จำเลยที่ 1 รับข้อเคยต้องโทษและพ้นโทษตามฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 13 ทวิ วรรคหนึ่ง,62 วรรคหนึ่ง, 89, 106 ทวิ ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามมาตรา 13 ทวิวรรคหนึ่ง, 89 เพียงบทเดียวตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90จำคุก 20 ปี คำให้การรับสารภาพของจำเลยที่ 1 ในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสาม คงจำคุก 13 ปี4 เดือน คำขอเพิ่มโทษจำเลยที่ 1 ให้ยก และให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2ริบเมทแอมเฟตามีนของกลางให้แก่กระทรวงสาธารณสุข
โจทก์และจำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้วที่โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1ขายเมทแอมเฟตามีนของกลางให้แก่สายลับ แต่ข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบคงได้ความเพียงว่า เมื่อจำเลยที่ 1 ดูเงินล่อซื้อที่นายประยูรแล้ว จำเลยที่ 1 เดินไปหยิบเมทแอมเฟตามีนของกลางจะมาส่งมอบให้แก่นายประยูร เจ้าพนักงานตำรวจเข้าจับกุมจำเลยที่ 1 พร้อมเมทแอมเฟตามีนของกลางที่ยังไม่ได้ส่งมอบให้แก่นายประยูร ยังอยู่ในขั้นตอนที่จำเลยที่ 1 พยายามขายเมทแอมเฟตามีนของกลาง และศาลล่างทั้งสองปรับบทลงโทษจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80 อันเป็นการปรับบทลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานพยายามขายเมทแอมเฟตามีนของกลางรวมกับความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อขายด้วยนั้น เห็นว่า พระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 4 ได้ให้คำนิยามของคำว่า “ขาย” ให้หมายความรวมถึง จำหน่าย จ่าย แจกแลกเปลี่ยน ส่งมอบ หรือมีไว้เพื่อขาย ดังนี้ เมื่อจำเลยที่ 1 มีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อขายและพยายามขายเมทแอมเฟตามีนของกลางในวันเวลาเดียวกันและต่อเนื่องกันการกระทำของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวจึงเป็นความผิดกรรมเดียวฐานขายเมทแอมเฟตามีนตามคำนิยามของบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวแล้วเท่านั้น เพราะการมีไว้เพื่อขายก็เป็นการขายแล้วมิใช่มีความผิดฐานพยายามขายเมทแอมเฟตามีนของกลางอีกด้วยปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยแม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสองประกอบด้วยมาตรา 225″
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 13 ทวิ วรรคหนึ่ง, 62 วรรคหนึ่ง, 89, 106 ทวิ การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ซึ่งแต่ละบทมีระวางโทษเท่ากัน ให้ลงโทษฐานขายเมทแอมเฟตามีนตามมาตรา 13 ทวิ วรรคหนึ่ง, 89 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์