คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1608/2528

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยมีสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีกับธนาคารการที่จำเลยนำเงินเข้าบัญชีมีลักษณะเป็นการลดหนี้ลงชั่วคราวแล้วก็เบิกเงินใหม่มีจำนวนรวมกันสูงกว่าเงินที่นำเข้าบัญชีอยู่ตลอดเวลาจนในที่สุดจำเลยเป็นหนี้ธนาคาร6,000,000 บาทการที่จำเลยนำเงินเข้าบัญชีแล้วมีการลดหนี้กันเช่นนี้แม้จะถือว่าเป็นการชำระหนี้ ก็หาใช่เป็นการชำระหนี้ทีเดียวเสร็จสิ้นกันไปเลยไม่หากแต่เป็นการชำระหนี้เพื่อก่อหนี้ใหม่เพิ่มขึ้นอีกหลายครั้งหลายคราวการนำเงินเข้าบัญชีของจำเลยจึงเป็นวิธีการเบิกเงินจากธนาคารให้ได้มากยิ่งขึ้นยิ่งกว่าจะมุ่งหมายให้ธนาคารได้เปรียบเจ้าหนี้อื่นตามพระราชบัญญัติล้มละลาย มาตรา 115ศาลจึงไม่เพิกถอนเงินฝากดังกล่าว

ย่อยาว

เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยื่นคำร้องว่า โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสี่เมื่อวันที่ 19 มกราคม2517 ขอให้เป็นบุคคลล้มละลาย ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยทั้งสี่เด็ดขาดเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2517 และพิพากษาให้ล้มละลายเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2518 จำเลยที่ 2 เปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันไว้กับธนาคารแห่งอินโดจีนและสุเอช จำกัดสาขากรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2517 ถึงวันที่ 26 ธันวาคม 2517 จำเลยที่ 2ได้นำเงินฝากและถอนจากบัญชีดังกล่าวรวม 28 ครั้ง เป็นเงิน 18,623,009 บาท29 สตางค์ จำเลยที่ 2 รู้ดีว่าธนาคารต้องหักยอดเงินออกจากจำนวนหนี้ทั้งหมด โดยจำเลยที่ 2 ไม่อาจถอนเงินได้อีก ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 มุ่งให้เจ้าหนี้คนหนึ่งคนใดได้เปรียบจึงขอให้ศาลเพิกถอนการนำเงินเข้าบัญชีธนาคารดังกล่าวให้ธนาคารคืนเงินพร้อมดอกเบี้ย
ธนาคารแห่งอินโดจียและสุเอช จำกัด สาขากรุงเทพฯ ยื่นคำคัดค้านว่า จำเลยที่ 2ได้เปิดบัญชีเดินสะพัดกับผู้คัดค้าน ให้มีการเบิกเงินเกินบัญชีได้ จำเลยที่ 2 นำเงินเข้าบัญชีและกู้เบิกเงินเกินบัญชีเป็นระยะ ๆ หาใช่เป็นการชำระหนี้โดยเด็ดขาดและไม่มีสิทธิเบิกเงินอีกไม่ ถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 โอนหรือกระทำการใด ๆ เกี่ยวกับทรัพย์สินโดยมุ่งให้ผู้คัดค้านได้เปรียบเจ้าหนี้อื่น
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยี่ 2 ไม่มีสิทธินำเงินเข้าฝากภายหลังที่ถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด มีคำสั่งให้เพิกถอนการนำเงินเข้าบัญชีธนาคารเป็นเงิน 3,478,090 บาท 29 สตางค์ ของจำเลยที่ 2 โดยให้คืนเงินฝากดังกล่าวแก่จำเลยที่ 2
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้เพิกถอนการนำเงินเข้าฝากธนาคารของจำเลยที่ 2นับแต่วันเริ่มเปิดบัญชีจนถึงวันศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยที่ 2 เด็ดขาดเป็นเงิน15,144,919 บาท โดยให้ธนาคารคืนเงินฝากจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ย
ผู้คัดค้านฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่จำเลยที่ 2 นำเงินเข้าบัญชีมีลักษณะเป็นการลดหนี้ลงชั่วคราวแล้วก็เบิกเงินใหม่มีจำนวนรวมกันสูงกว่าเงินที่นำเข้าบัญชีอยู่ตลอดเวลา เริ่มจากจำเลยที่ 2 เอาเงินเข้าฝากเพียง 20,000 บาท แล้วมีการเบิกเงินและนำเงินเข้าบัญชีติดต่อกันมาจนในที่สุดในวันที่ 26 ธันวาคม 2517 จำเลยที่ 2 เป็นหนี้ธนาคารผู้คัดค้านอยู่ 6,000,000 บาท การที่จำเลยที่ 2 นำเงินเข้าบัญชีแล้วมีการลดหนี้กันแม้จะถือว่าเป็นการชำระหนี้ ก็หาใช่เป็นการชำระหนี้ทีเดียวเสร็จสิ้นกันไปเลยไม่ หากแต่เป็นการชำระหนี้เพื่อก่อหนี้ใหม่เพิ่มขึ้นอีกหลายครั้งหลายคราวการนำเงินเข้าบัญชีของจำเลยที่ 2 จึงน่าจะเป็นวิธีการเบิกเงินจากธนาคารผู้คัดค้านให้ได้มากยิ่งขึ้น ยิ่งกว่าจะมุ่งหมายให้ธนาคารผู้คัดค้านได้เปรียบเจ้าหนี้คนอื่นของจำเลยที่ 2 แต่อย่างไรก็ดี เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนเงินฝากของจำเลยที่ 2 ตั้งแต่วันที่ 29 พฤศจิกายน 2517 ซึ่งเป็นเวลาภายหลังที่จำเลยที่ 2 ถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้ว จำนวน 3,478,090 บาท 29 สตางค์โดยธนาคารผู้คัดค้านไม่ต้องใช้ดอกเบี้ยด้วยนั้น แม้ธนาคารผู้คัดค้านจะได้ยื่นอุทธรณ์โต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้นในข้อนี้ แต่เนื่องจากมีข้อผิดพลาดมิได้ส่งอุทธรณ์ของธนาคารผู้คัดค้านไปยังศาลอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ไม่ได้วินิจฉัยอุทธรณ์ของธนาคารผู้คัดค้าน คงวินิจฉัยแต่อุทธรณ์ของเจ้าพนักงานนพิทักษ์ทรัพย์เพียงฝ่ายเดียว ซึ่งธนาคารผู้คัดค้านได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลอุทธรณ์เพิกถอนกระบวนพิจารณาและให้พิพากษาใหม่ทั้งอุทธรณ์ของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์และอุทธรณ์ของธนาคารผู้คัดค้าน แต่ศาลอุทธรณ์ได้มีคำสั่งยกคำร้องของธนาคารผู้คัดค้าน และธนาคารผู้คัดค้านแถลงว่าไม่ติดใจฎีกาคำสั่งของศาลอุทธรณ์แล้ว ดังที่ปรากฏในรายงานกระบวนพิจารณาของศาลแพ่งลงวันที่ 14 มีนาคม 2527 จึงต้องถือว่าจำเลยที่ 2 ยอมรับตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ไม่ติดใจอุทธรณ์ต่อไปแล้ว คำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ให้เพิกถอนเงินฝากของจำเลยที่ 2 จำนวน 3,478,090 บาท 29 สตางค์ โดยธนาคารผู้คัดค้านไม่ต้องชำระดอกเบี้ย จึงเป็นอันยุติ ไม่มีประเด็นขึ้นมาสู่ศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาอีก ในชั้นฎีกาจึงมีประเด็นเพียงว่าศาลจะเพิกถอนเงินฝากของจำเลยที่ 2 ที่ฝากก่อนวันที่ 29 พฤศจิกายน2517 จำนวน 15,144,919 บาท ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช 2483มาตรา 115 ได้หรือไม่ ซึ่งได้วินิจฉัยแล้วว่าการกระทำของจำเลยไม่ได้มุ่งหมายจะทำให้ธนาคารผู้คัดค้านได้เปรียบตามบทบัญญัติดังกล่าว ศาลจึงมิอาจเพิกถอนเงินฝากจำนวนนี้ได้
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นว่า ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share