แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
สัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างผู้ร้องกับผู้คัดค้านซึ่งศาลได้พิพากษาตามยอม คดีถึงที่สุดแล้วที่ระบุ ให้แบ่งที่พิพาทออกเป็นสองส่วน โดยให้แปลงด้านทิศเหนือตกเป็นของผู้ร้องและท. ส่วนแปลงด้านทิศใต้ให้ตกเป็นของผู้คัดค้าน ย่อมผูกพันผู้ร้องและผู้คัดค้านตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 145 วรรคหนึ่ง โดยผู้คัดค้านมีหน้าที่ต้องขอรังวัดแบ่งแยกและจดทะเบียนลงชื่อผู้ร้องและ ท. เป็นผู้ร่วมถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงด้านทิศเหนือและผู้ร้องมีหน้าที่ต้องยินยอมให้ ท. ลงชื่อถือกรรมสิทธิ์รวมดังกล่าวด้วยแต่จะอ้างผลเพื่อให้ ท. ยอมรับการเป็นเจ้าของรวมกับผู้ร้องและยินยอมให้ลงชื่อ ท.ในที่ดินไม่ได้เพราะท. เป็นบุคคลภายนอกที่จะได้รับผลประโยชน์มิได้เป็นคู่ความ จึงไม่ผูกพันท.ให้ต้องปฏิบัติตามและเป็นสิทธิของท. ที่จะรับหรือไม่รับที่ดินก็ได้
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากผู้ร้องทั้งสองและผู้คัดค้านทั้งสองทำสัญญาประนีประนอมยอมความตกลงแบ่งที่พิพาท โฉนดเลขที่ 1084 ของนางต่อม เผือกฟัก และสิบโทอยู่ เผือกฟักออกเป็นสองส่วน ส่วนด้านทิศเหนือเนื้อที่ 26 ไร่ ให้แก่ผู้ร้องทั้งสองและนางทองเปลว ดีพร้อม ส่วนด้านทิศใต้เนื้อที่ 25 ไร่3 งาน 96 ตารางวา ให้แก่ผู้คัดค้านทั้งสอง และบ้านเลขที่ 17หมู่ที่ 1 ในที่พิพาทให้แก่ผู้ร้องทั้งสอง ผู้คัดค้านทั้งสองและในฐานะผู้จัดการมรดกของนางต่อม เผือกฟักและสิบโทอยู่เผือกฟัก จะดำเนินการขอรังวัดแบ่งแยกที่พิพาทและจดทะเบียนใส่ชื่อผู้ร้องทั้งสองและนางทองเปลวในโฉนดที่ดินภายใน 7 วันนับแต่วันทำสัญญาประนีประนอมยอมความศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอม คดีถึงที่สุด และนางทองเปลวได้ตกลงรับส่วนแบ่งดังกล่าวในขณะทำสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นแล้วแต่ผู้คัดค้านทั้งสองดำเนินการจดทะเบียนโอนล่าช้า ผู้ร้องทั้งสองจึงขออายัดที่พิพาทและฟ้องให้เพิกถอนผู้คัดค้านที่ 2ออกจากการเป็นผู้จัดการมรดก เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2537เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดปทุมธานี สาขาคลองหลวงมีหนังสือถึงศาลชั้นต้นว่าผู้ร้องที่ 2 และผู้คัดค้านที่ 2 ไปที่สำนักงานที่ดินเพื่อดำเนินการตามคำพิพากษาตามยอม แต่ฝ่ายผู้ร้องที่ 2 กับพวกไม่ยินยอมให้ลงชื่อนางทองเปลวเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์รวมกับผู้ร้องทั้งสอง จึงขอทราบวิธีปฏิบัติ ซึ่งศาลชั้นต้นมีหนังสือแจ้งให้เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดปทุมธานี สาขาคลองหลวงปฏิบัติตามคำพิพากษาโดยจดทะเบียนนิติกรรมตามสัญญาประนีประนอมยอมความที่ศาลได้มีคำพิพากษาตามยอมไปแล้ว ต่อมาวันที่ 29มีนาคม 2537 ผู้ร้องที่ 2 ยื่นคำร้องว่านางทองเปลวเป็นบุคคลภายนอกคดี เพื่อความชัดเจนในการบังคับคดี ขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า สัญญาประนีประนอมยอมความและรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 9 เมษายน 2534 ในคดีนี้ไม่มีผลผูกพันนางทองเปลว และศาลชั้นต้นมีคำสั่งตามคำร้องว่า คำพิพากษาผูกพันคู่ความในคดีให้ต้องปฏิบัติตาม แต่ไม่ผูกพันบุคคลภายนอกแม้จะเป็นผู้ได้รับประโยชน์จากคำพิพากษา คำพิพากษาคดีนี้จึงไม่ผูกพันนางทองเปลว ดีพร้อม วันที่ 17 กันยายน 2539ผู้ร้องทั้งสองยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นออกหนังสือรับรองว่าคำสั่งดังกล่าวถึงที่สุดแล้ว เพื่อผู้ร้องทั้งสองจะนำไปแสดงต่อเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดปทุมธานี สาขาคลองหลวง ในการปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลในชั้นบังคับคดี ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าคำสั่งของศาลชั้นต้นตามคำร้องฉบับลงวันที่ 29 มีนาคม 2537เป็นเพียงคำสั่งตามคำร้อง มิใช่คำสั่งวินิจฉัยชี้ขาดตัดสินคดีจึงไม่อนุญาตให้ออกหนังสือตามคำร้องฉบับนี้ ยกคำร้อง วันที่ 26พฤศจิกายน 2540 และ 29 ธันวาคม 2540 ผู้ร้องที่ 2 ได้ยื่นคำแถลงต่อศาลชั้นต้นในทำนองเดียวกันอีกซึ่งศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ศาลเคยมีคำสั่งในเรื่องนี้แล้ว ไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่ง ยกคำแถลง
วันที่ 30 ธันวาคม 2540 ผู้ร้องที่ 2 ยื่นคำแถลงขอให้ศาลชั้นต้นออกหนังสือรับรองข้อเท็จจริงว่า คำสั่งคำร้องของศาลชั้นต้นลงวันที่ 29 มีนาคม 2537 ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คำสั่งดังกล่าวเป็นเพียงคำสั่งตามคำร้องไม่มีเหตุที่จะออกหนังสือรับรอง ให้ยกคำแถลง
ผู้ร้องที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
ผู้ร้องทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปรากฏตามคำแถลงฉบับลงวันที่ 30ธันวาคม 2540 ว่า ผู้ร้องที่ 2 เป็นผู้ยื่นคำแถลงดังกล่าวแต่เพียงผู้เดียว ผู้ร้องที่ 1 มิได้ร่วมยื่นด้วย และผู้ร้องที่ 2 เท่านั้นเป็นผู้ยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้น ผู้ร้องที่ 1 จึงมิใช่คู่ความตามคำแถลงไม่มีสิทธิร่วมฎีกาคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ฎีกาในส่วนของผู้ร้องที่ 1 จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 2 ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยส่วนปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาผู้ร้องที่ 2 ว่า สมควรออกหนังสือรับรองให้ผู้ร้องที่ 2 ตามคำแถลงดังกล่าวหรือไม่นั้น เห็นว่าสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างผู้ร้องทั้งสองกับผู้คัดค้านทั้งสอง ซึ่งศาลได้พิพากษาตามยอม คดีถึงที่สุดแล้วระบุ “ให้แบ่งที่พิพาทโฉนดเลขที่ 1084 ตำบลบางหวายใต้ อำเภอคลองหลวงจังหวัดปทุมธานี ออกเป็นสองส่วนตามความยาวของที่ดินโดยให้แปลงด้านทิศเหนือมีเนื้อที่ 26 ไร่ ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องทั้งสองและนางทองเปลว ดีพร้อม ส่วนแปลงด้านทิศใต้มีเนื้อที่ 25 ไร่ 3 งาน 96 ตารางวา ให้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้คัดค้านทั้งสอง…” สัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมดังกล่าวจึงผูกพันผู้ร้องทั้งสองและผู้คัดค้านทั้งสองอันเป็นคู่ความในคดีให้ต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 วรรคหนึ่ง โดยผู้คัดค้านทั้งสองมีหน้าที่ต้องยื่นคำร้องขอรังวัดแบ่งแยกที่พิพาทออกเป็นสองส่วนและให้เจ้าพนักงานที่ดินจดทะเบียนลงชื่อผู้ร้องทั้งสองและนางทองเปลวเป็นผู้ร่วมถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินส่วนที่เป็นแปลงด้านทิศเหนือ และผู้ร้องทั้งสองมีหน้าที่ตามสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมที่ถึงที่สุดแล้วนั้นต้องยินยอมให้ลงชื่อนางทองเปลวถือกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินส่วนดังกล่าวด้วยแต่ผู้ร้องทั้งสองและผู้คัดค้านจะอ้างผลของสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมเพื่อจะให้นางทองเปลวยอมรับการเป็นเจ้าของรวมกับผู้ร้องทั้งสอง และยินยอมให้ลงชื่อนางทองเปลวในที่ดินไม่ได้ เพราะนางทองเปลวเป็นบุคคลภายนอกที่จะได้รับผลประโยชน์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมเท่านั้น มิได้เป็นคู่ความในคดี สัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมจึงไม่ผูกพันนางทองเปลวซึ่งเป็นบุคคลภายนอกให้ต้องปฏิบัติตามและเป็นสิทธิเฉพาะของนางทองเปลวในฐานะบุคคลภายนอกผู้รับประโยชน์ที่จะรับหรือไม่รับที่ดินเท่านั้น หาก่อให้เกิดสิทธิหรือหาจำต้องนำไปบังคับแก่ผู้ร้องทั้งสองและผู้คัดค้านทั้งสองด้วยดังผู้ร้องที่ 2 อ้างไม่ ผู้ร้องทั้งสองและผู้คัดค้านทั้งสองยังคงมีหน้าที่ต่างตอบแทนและผูกพันต่อกันตามสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมที่จะต้องให้เจ้าพนักงานที่ดินลงชื่อนางทองเปลวเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงด้านทิศเหนือรวมกับผู้ร้องทั้งสองต่อไป แต่ผู้ร้องที่ 2 กลับยื่นคำร้องลงวันที่ 29 มีนาคม2537 เพื่อให้ศาลมีคำสั่งว่า สัญญาประนีประนอมยอมความและรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 9 เมษายน 2534 ไม่ผูกพันนางทองเปลว โดยผู้ร้องที่ 2 มีความประสงค์อย่างชัดแจ้งดังเช่นที่ได้ระบุในฎีกาของผู้ร้องที่ 2 และตามคำร้องของผู้ร้องที่ 2 หลายฉบับว่าผู้ร้องที่ 2 ต้องการนำคำสั่งศาลที่สั่งว่า คำพิพากษาตามยอมไม่ผูกพันบุคคลภายนอกให้ต้องปฏิบัติตาม แม้จะเป็นผู้ได้รับประโยชน์จากคำพิพากษา คำพิพากษาคดีนี้จึงไม่ผูกพันนางทองเปลว และผู้ร้องเห็นว่าคำสั่งดังกล่าวต้องนำไปบังคับแก่คู่ความด้วยอันเป็นผลให้ผู้ร้องทั้งสองและผู้คัดค้านทั้งสองซึ่งเป็นคู่ความในคดีไม่มีความผูกพันที่จะต้องลงชื่อนางทองเปลวมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงด้านทิศเหนือรวมกับผู้ร้องทั้งสองนั้นไปแสดงต่อเจ้าพนักงานที่ดินในชั้นบังคับคดี เพื่อเจ้าพนักงานที่ดินจะได้ไม่ลงชื่อนางทองเปลวเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์รวมกับผู้ร้องที่ 2 ดังเช่นที่ที่ผู้ร้องที่ 2 ได้คัดค้านต่อเจ้าพนักงานที่ดินไว้ ซึ่งความเห็นของผู้ร้องที่ 2 ดังที่อ้างในฎีกาไม่ถูกต้องตามกฎหมาย และเป็นการอ้างเพียงฝ่ายเดียวเพื่อหลีกเลี่ยงให้การบังคับคดีผิดไปจากสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอม และทำให้เจ้าพนักงานที่ดินไขว้เขวต่อการปฏิบัติให้เป็นไปตามคำพิพากษา ดังเช่นที่ได้มีหนังสือสอบถามการปฏิบัติดังกล่าวต่อศาลซ้ำ ๆ กันหลายครั้งมาแล้ว ทั้งทำให้การบังคับคดีเป็นไปอย่างล่าช้าโดยปราศจากเหตุอันสมควรที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 เห็นสมควรไม่ออกหนังสือรับรองให้ผู้ร้องที่ 2 ชอบแล้ว ฎีกาผู้ร้องที่ 2 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน