คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5695/2544

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การพิพากษาคดีอาญาหาได้มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดให้ศาลจำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีอาญาคดีอื่น แม้ศาลฎีกาจะพิพากษาลงโทษ จ. ซึ่งถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดร่วมกับจำเลยและคดีถึงที่สุดแล้วก็ตาม โจทก์จะอ้างข้อเท็จจริงในคดีที่ จ. เป็นจำเลยมาให้ศาลรับฟังลงโทษจำเลยคดีนี้หาได้ไม่เพราะในคดีอาญาศาลจะต้องดำเนินการพิจารณาและสืบพยานโดยเปิดเผยต่อหน้าจำเลย โจทก์จะต้องนำสืบให้ได้ความชัดแจ้งปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยได้กระทำความผิดจริงจึงจะพิพากษาลงโทษได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 83, 288, 364, 365 และนับโทษจำเลยในคดีนี้ต่อจากโทษของจำเลยที่ 2 ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1462/2541 ของศาลชั้นต้น

จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยที่ 2 ในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 83, 288, 364 การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษฐานพยายามฆ่าซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 13 ปี 4 เดือน

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ตามวันและเวลาเกิดเหตุในฟ้องนายจิรพันธ์หรือพันธ์ ดำมุณี จำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 3968/2540 ของศาลชั้นต้นกับกลุ่มวัยรุ่นประมาณ 15 คน ขับรถจักรยานยนต์หลายคันไปที่บ้านนายนิกรเมืองมี ผู้เสียหายที่ 1 แล้วนายจิรพันธ์กับวัยรุ่นอีก 2 คน เข้าไปในบริเวณบ้านของผู้เสียหายที่ 1 ช่วยกันฉุดลากตัวนายสรพงษ์ เมืองมี บุตรผู้เสียหายที่ 1 จะพาออกไปนอกรั้วบ้าน แต่นายสรพงษ์สะบัดหลุดแล้ววิ่งไปหยิบอาวุธปืนมาให้ผู้เสียหายที่ 1 กลุ่มวัยรุ่นทั้งหมดจึงขับรถจักรยานยนต์ออกไปโดยขว้างลูกระเบิดมาที่รั้วบ้านผู้เสียหายที่ 1 สะเก็ดระเบิดถูกนายประเสริฐขวัญทองอินทร์ ผู้เสียหายที่ 2 บริเวณหลังและขาข้างซ้าย เป็นเหตุให้ผู้เสียหายที่ 2 ได้รับอันตรายแก่กาย ตามผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์เอกสารหมาย จ.6

คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ข้อแรกว่า คดีอาญาหมายเลขแดงที่ 3968/2540 ของศาลชั้นต้นซึ่งเป็นการกระทำกรรมเดียวกับคดีนี้ ศาลฎีกาได้พิพากษาลงโทษนายจิรพันธ์ตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 231/2542 โดยวินิจฉัยว่า จำเลยเป็นผู้ร่วมกระทำความผิดด้วยศาลควรฟังข้อเท็จจริงคดีนี้ไปในทางเดียวกับคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 231/2542 นั้น เห็นว่า การพิพากษาคดีอาญาหาได้มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดให้ศาลจำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีอาญาคดีอื่น แม้ศาลจะพิพากษาลงโทษนายจิรพันธ์ซึ่งถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดร่วมกับจำเลยและคดีถึงที่สุดแล้วก็ตาม โจทก์จะอ้างข้อเท็จจริงในคดีที่นายจิรพันธ์เป็นจำเลยมาให้ศาลรับฟังลงโทษจำเลยคดีนี้หาได้ไม่ เพราะในคดีอาญาศาลจะต้องดำเนินการพิจารณาและสืบพยานโดยเปิดเผยต่อหน้าจำเลย โจทก์จะต้องนำสืบให้ได้ความชัดแจ้งปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยได้กระทำความผิดจริง จึงจะพิพากษาลงโทษจำเลยได้ ฎีกาของโจทก์ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share