คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7412/2544

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ในคดีอาญา เมื่อจำเลยให้การปฏิเสธแล้วก็เป็นหน้าที่ของโจทก์โดยตรงที่ต้องนำพยานหลักฐานเข้าสืบเพื่อสนับสนุนฟ้องและพิสูจน์ให้ได้ความชัดแจ้งว่า จำเลยเป็นผู้กระทำความผิดตามฟ้อง เพราะแม้ในคดีที่จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องในความผิดที่กฎหมายกำหนดอัตราโทษอย่างต่ำไว้ให้จำคุกตั้งแต่ห้าปีขึ้นไปหรือโทษสถานหนักกว่านั้น โจทก์ก็ยังมีหน้าที่นำพยานหลักฐานเข้าสืบประกอบคำรับสารภาพของจำเลยให้ศาลรับฟังได้จนเป็นที่พอใจว่าจำเลยได้กระทำความผิดตามฟ้อง จึงจะลงโทษจำเลยตามฟ้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 176 วรรคหนึ่งแม้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 134จะบัญญัติไว้ว่าถ้อยคำของจำเลยหรือผู้ต้องหาในชั้นสอบสวนอาจใช้เป็นพยานหลักฐานยันจำเลยในชั้นพิจารณาได้ก็ตามแต่ถ้อยคำหรือคำรับสารภาพของจำเลยในชั้นสอบสวนก็เป็นเพียงพยานหลักฐานของโจทก์อย่างหนึ่งที่โจทก์จะนำสืบสนับสนุนฟ้องเท่านั้น ดังนั้น ลำพังแต่คำรับสารภาพของจำเลยในชั้นสอบสวนเพียงอย่างเดียวเท่านั้น จึงไม่อาจที่จะยกขึ้นมายันลงโทษจำเลยได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 67, 102 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91, 371 ริบเมทแอมเฟตามีน ที่เหลือจากการตรวจพิสูจน์และเงินสดจำนวน 1,905 บาท ของกลาง และเพิ่มโทษจำเลยที่ 1กึ่งหนึ่งตามกฎหมาย

จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 66 วรรคหนึ่งพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72วรรคสาม, 72 ทวิ วรรคสอง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก7 ปี ฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 6 เดือน ฐานพาอาวุธปืนเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบทลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนวัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 72ทวิ วรรคสอง ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90 จำคุก 6 เดือน รวมจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 8 ปี ริบเมทแอมเฟตามีนที่เหลือจากการตรวจพิสูจน์ 5.60 กรัม ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 คำขออื่นของโจทก์ให้ยก

จำเลยที่ 1 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง,67 จำคุก 5 ปี จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 เห็นสมควรลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 2 ปี 6 เดือน รวมกับโทษฐานมีอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตและฐานพาอาวุธปืนไปในเมือง และทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นอีกกระทงละ 6 เดือน แล้ว รวมเป็นจำคุก 3 ปี 6 เดือนนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าจำเลยที่ 1 มีเมทแอมเฟตามีนอันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมายหรือไม่ โดยโจทก์ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 มีเมทแอมเฟตามีนมากถึง 80 เม็ด อันมิใช่จำนวนที่พอเหมาะสำหรับการเสพ หากคิดราคาเม็ดละ 60 บาท ก็ต้องใช้เงินซื้อถึง 4,800 บาท ปกติแล้วผู้ติดยาเสพติดให้โทษมีกำลังเงินซื้อได้ครั้งละ 1 ถึง 2 เม็ด เท่านั้น ประกอบกับร้อยตำรวจเอกไพโรจน์ยังสืบทราบว่า จำเลยที่ 1 มีพฤติการณ์จำหน่ายเมทแอมเฟตามีนให้แก่วัยรุ่นจำเลยที่ 1 ก็ให้การรับสารภาพทั้งในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนตามเอกสารหมาย จ.3 และ จ.7 คำให้การของจำเลยที่ 1 ในชั้นสอบสวนเป็นผลร้ายแก่จำเลยที่ 1 จึงรับฟังยันตัวจำเลยที่ 1 ได้พยานหลักฐานของโจทก์ย่อมฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 มีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมายนั้น เห็นว่า ในคดีอาญานั้นเมื่อจำเลยให้การปฏิเสธฟ้องแล้ว ก็เป็นหน้าที่ของโจทก์โดยตรงที่ต้องนำพยานหลักฐานเข้าสืบเพื่อสนับสนุนฟ้องและพิสูจน์ให้ได้ความชัดแจ้งว่าจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดตามฟ้องเพราะแม้ในคดีที่จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องในความผิดที่กฎหมายกำหนดอัตราโทษอย่างต่ำไว้ให้จำคุกตั้งแต่ห้าปีขึ้นไปหรือโทษสถานหนักกว่านั้นโจทก์ก็ยังมีหน้าที่นำพยานหลักฐานเข้าสืบประกอบคำรับสารภาพของจำเลยให้ศาลรับฟังได้จนเป็นที่พอใจว่าจำเลยได้กระทำความผิดตามฟ้อง จึงจะลงโทษจำเลยตามฟ้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 176 วรรคหนึ่ง แม้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 134 จะบัญญัติไว้ว่าให้ถ้อยคำของจำเลยหรือผู้ต้องหาในชั้นสอบสวนอาจใช้เป็นพยานหลักฐานยันจำเลยในชั้นพิจารณาได้ก็ตามแต่ถ้อยคำหรือคำรับสารภาพของจำเลยในชั้นสอบสวนก็เป็นเพียงพยานหลักฐานของโจทก์อย่างหนึ่งที่โจทก์นำสืบสนับสนุนฟ้องเท่านั้น ดังนั้น ลำพังแต่คำรับสารภาพของจำเลยในชั้นสอบสวนเพียงอย่างเดียวเท่านั้น จึงไม่อาจที่จะยกขึ้นมายันลงโทษจำเลยได้ดังเช่นที่โจทก์ฎีกา ในชั้นสอบสวนจำเลยที่ 1 ก็ให้การปฏิเสธฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมายตามเอกสารหมาย จ.7 และจำเลยที่ 1 ก็ยังให้การปฏิเสธฟ้องในชั้นพิจารณาอีกด้วย จึงเป็นหน้าที่ของโจทก์ที่ต้องนำพยานหลักฐานเข้าสืบให้เห็นถึงพฤติการณ์ของจำเลยที่ 1 ว่า มีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย แต่ทางนำสืบของโจทก์ตามคำเบิกความของสิบตำรวจตรียงยุทธและสิบตำรวจตรีสุรัตน์ได้ความต้องกันว่า พยานโจทก์ทั้งสองเป็นเจ้าพนักงานตำรวจสายตรวจออกตรวจท้องที่ผ่านมาถึงหน้าสถานีตำรวจภูธรอำเภอจอมบึงเห็นจำเลยที่ 1 ขับรถจักรยานยนต์ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียนมีจำเลยที่ 2 นั่งซ้อนท้ายจึงได้เรียกให้หยุดขอตรวจ โดยสิบตำรวจตรีสุรัตน์ได้เบิกความตอบคำถามค้านทนายจำเลยที่ 1 ว่า ตอนแรกจะจับกุมข้อหาใช้รถจักรยานยนต์ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน จึงได้เรียกให้หยุด แสดงว่าสิบตำรวจตรียงยุทธและสิบตำรวจตรีสุรัตน์ได้มาพบจำเลยทั้งสองโดยบังเอิญและจะจับกุมจำเลยที่ 1 ข้อหาใช้รถจักรยานยนต์ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียนเท่านั้นมิได้มีเจตนาที่จะติดตามจับกุมจำเลยที่ 1ด้วยเหตุที่จำเลยที่ 1 มีพฤติการณ์ลักลอบจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนแต่อย่างใด ส่วนที่ร้อยตำรวจเอกไพโรจน์เบิกความว่าได้สืบทราบว่าจำเลยที่ 1 มีพฤติการณ์ลักลอบจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนนั้น ก็ไม่ได้ความว่าสืบทราบหรือรู้เห็นพฤติการณ์การกระทำของจำเลยที่ 1อย่างไร เมื่อใด การที่ร้อยตำรวจเอกไพโรจน์เบิกความว่าสืบทราบโดยใช้สายลับ เจ้าพนักงานตำรวจและชาวบ้านทั่วไป ย่อมแสดงว่าร้อยตำรวจเอกไพโรจน์เป็นเพียงพยานบอกเล่าเท่านั้น ซึ่งร้อยตำรวจเอกไพโรจน์ก็ได้เบิกความตอบคำถามค้านทนายจำเลยที่ 1 รับว่า ไม่เคยเห็นจำเลยที่ 1 จำหน่ายเมทแอมเฟตามีน ดังนั้นเมื่อโจทก์ไม่ได้นำสายลับเจ้าพนักงานตำรวจหรือชาวบ้านทั่วไปที่ร้อยตำรวจเอกไพโรจน์อ้างว่าใช้ไปสืบพฤติการณ์ของจำเลยที่ 1 มาสืบให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 ได้ลักลอบจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนอย่างไรแล้ว และเมทแอมเฟตามีนของกลางที่ยึดได้จากจำเลยที่ 1 มีน้ำหนัก 6.89 กรัม ถึงอย่างไรก็คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ไม่ถึง 20 กรัม ที่จะถือได้ว่ามีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคสองพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมาจึงไม่มีน้ำหนักพอที่จะให้รับฟังลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมายได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้นชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share