แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยปล้นทรัพย์ 3 บ้านติดต่อกันอยู่ใกล้กัน 10 วาเศษ 3 หลัง ได้ทรัพย์จากบ้านแรกแล้วคุมตัวผู้เสียหายเจ้าของบ้านไปบ้านที่ 2 ยังไม่ค้นหาทรัพย์คุมตัวผู้เสียหายจากบ้านที่ 2 ไปค้นหาทรัพย์บ้านที่ 3 ก่อน แล้วจึงย้อนกลับมาค้นหาทรัพย์ในบ้านที่ 2 ทั้งโจทก์บรรยายฟ้องก็บรรยายรวมกันมาเป็นคราวเดียวกันว่าปล้นผู้เสียหาย 4 คน ได้ทรัพย์สินไปรวมราคา 22,480 บาท ไม่ได้แยกว่าทรัพย์สินอะไรเป็นของผู้เสียหายคนใด การกระทำผิดของจำเลยจึงเป็นความผิดกรรมเดียว
คำว่าใช้วัตถุระเบิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคสี่ หมายถึงลงมือใช้เพื่อให้เกิดการระเบิด เช่นอาวุธปืนก็ต้องลงมือยิง เพียงใช้ขู่ให้เกิดความกลัว ยังถือไม่ได้ว่าเป็นการใช้ตามมาตรานี้
ย่อยาว
่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกับพวกอีกหลายคนร่วมกันใช้อาวุธปืนและวัตถุระเบิดเป็นอาวุธทำการปล้นทรัพย์ผู้เสียหาย จำเลยที่ ๑ บังอาจมีลูกระเบิดขวางชนิดสังหาร ๑ ลูก และบังอาจพาอาวุธมีดปลายแหลมไปในหมู่บ้านโดยไม่มีเหตุอันควรจำเลยที่ ๒ บังอาจมีอาวุธปืนลูกซองพกสั้นไม่มีเครื่องหมายทะเบียน ๑ กระบอกกระสุนปืนลูกซอง ๕ นัดไว้ในครอบครองและบังอาจพาติดตัวไปในหมู่บ้านโดยไม่ได้รับอนุญาต และไม่มีเหตุสมควร ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๔๐, ๓๔๐ ตรี, ๓๗๑, ๙๑ พระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯ พ.ศ. ๒๔๙๐ มาตรา ๗,๘ ทวิ, ๕๕, ๗๒, ๗๒ ทวิ, ๗๘ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๗) พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๖, ๘ คำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินฉบับที่ ๔๔ ลงวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๑๙ ข้อ ๓, ๖, ๗ ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๑๑ ลงวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๑๔ข้อ ๑๔, ๑๕ ริบของกลาง
จำเลยที่ ๑ ให้การรับสารภาพในข้อหาพามีดปลายแหลมไปในหมู่บ้านโดยไม่มีเหตุสมควร จำเลยที่ ๒ ให้การรับสารภาพในข้อหามีและพาอาวุธปืน กระสุนปืน ข้อหานอกจากนี้จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๐ วรรคสี่ ๓๔๐ ตรี ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๑ ลงวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๑๔ ข้อ ๑๔, ๑๕ เป็น ๓ กระทง จำคุกคนละ กระทงละ ๒๒ ปี ๖ เดือนจำเลยที่ ๑ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๗๑ พระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯ พ.ศ. ๒๔๙๐ มาตรา ๗, ๘ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๗) พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ ฐานพาอาวุธมีดปลายแหลมปรับ ๑๐๐ บาท ฐานมีลูกระเบิดขว้างชนิดสังหารจำคุก ๓ ปี จำเลยที่ ๒ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๗๑ พระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯ พ.ศ. ๒๔๙๐ มาตรา ๗, ๘ ทวิ คำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ ๔๔ ลงวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๑๙ ข้อ ๓ ฐานมีอาวุธปืนจำคุก ๑ ปี ฐานพาอาวุธปืนจำคุก ๖ เดือน จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพมีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ จำเลยที่ ๑ ในข้อหาพาอาวุธมีดปลายแหลมลดกึ่งหนึ่ง คงปรับ ๕๐ บาท ฐานมีวัตถุระเบิดลดให้หนึ่งในสามคงจำคุก ๒ ปีจำเลยที่ ๒ ฐานมีอาวุธปืนลดให้กึ่งหนึ่ง จำคุก ๖ เดือน ฐานพาอาวุธปืนลดให้กึ่งหนึ่งคงจำคุก ๓ เดือน รวมโทษจำคุกจำเลยที่ ๑ มีกำหนด ๖๙ ปี ๖ เดือน และปรับ ๕๐ บาท จำคุกจำเลยที่ ๒ มีกำหนด ๖๘ ปี ๓ เดือน จำเลยที่ ๑ ไม่ชำระค่าปรับ ให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙, ๓๐ ของกลางริบ
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๐ วรรคสอง ประกอบมาตรา ๓๔๐ ตรี จำคุกคนละ ๒๒ ปี ๖ เดือน เมื่อรวมกับโทษจำคุกฐานอื่นตามที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้แล้วรวมเป็นจำคุกจำเลยที่ ๑ มีกำหนด ๒๔ ปี ๖ เดือน และปรับ ๕๐ บาท จำเลยที่ ๒ จำคุก ๒๓ ปี ๓ เดือน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยปล้นทรัพย์ ๓ บ้านติดต่อกัน อยู่ใกล้กัน ๑๐ วาเศษ ๓ หลัง ได้ทรัพย์จากบ้านแรกแล้ว คุมตัวผู้เสียหายเจ้าของบ้านไปบ้านที่ ๒ ยังไม่ค้นหาทรัพย์ คุมตัวผู้เสียหายจากบ้านที่ ๒ ไปค้นหาทรัพย์บ้านที่ ๓ ก่อน แล้วจึงย้อนกลับมาค้นหาทรัพย์ในบ้านที่ ๒ ทั้งโจทก์บรรยายฟ้องก็บรรยายรวมกันมาเป็นคราวเดียวกันว่า ปล้นผู้เสียหาย ๔ คน ได้ทรัพย์สินไปรวมราคา ๒๒,๔๘๐ บาท ไม่ได้แยกว่าทรัพย์สินอะไรเป็นของผู้เสียหายคนใด แสดงว่าโจทก์เองก็ประสงค์ให้ศาลลงโทษเป็นความผิดกรรมเดียว แต่โจทก์กลับฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน จึงฟังไม่ขึ้น
คำว่าใช้วัตถุระเบิดตามมาตรา ๓๔๐ วรรคสี่นี้ หมายถึงลงมือใช้เพื่อให้เกิดการระเบิด เช่นอาวุธปืนก็ต้องลงมือยิง เพียงใช้ขู่ให้เกิดความกลัว ยังถือไม่ได้ว่าเป็นการใช้ตามมาตรานี้
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดฐานปล้นทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๐ วรรคสอง ประกอบกับมาตรา ๓๔๐ ตรี ให้จำคุกจำเลยทั้งสองไว้คนละ ๑๘ ปี เมื่อรวมโทษในความผิดฐานอื่นที่ลงแก่จำเลยมาแล้วคงจำคุกจำเลยที่ ๑ มีกำหนด ๒๐ ปี ปรับ ๕๐ บาท จำคุกจำเลยที่ ๒ มีกำหนด ๑๘ ปี ๙ เดือน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์